(ข้อมูลจาก bloomberg.com)

เมื่อคืนวันศุกร์ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลงแรงพร้อม ๆ กัน … สำนักข่าว CNBC ได้ไปสัมภาษณ์ Hugh Johnson, ประธาน Hugh Johnson Advisors ถึงเหตุผล ซึ่ง Johnson ให้มุมมองไว้ว่า “Everybody likes to say the price decline in oil is good news for the U.S. economy, but the real issue is this is really bad news for Russia, and by implication, bad news for Europe, which does a lot of business with Russia. The problems in Russia are getting transmitted to Europe, and Europe is an important trading partner for the U.S.”

แปลเป็นไทยได้ว่า “ทุกคนคิดว่าราคาน้ำมันที่ดิ่งลงเป็นผลดีต่อสหรัฐฯ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นผลร้ายต่อรัสเซีย ซึ่งเท่ากับว่าเป็นผลร้ายต่อยุโรปด้วย เนื่องจากยุโรปทำธุรกิจมากมายกับรัสเซีย ปัญหาของรัสเซียกำลังส่งผ่านมายังยุโรป และยุโรปเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ”

(กราฟราคาน้ำมันดิบ Brent จาก Aspen for Windows)

เมื่อไปค้นข้อมูลก็พบว่า รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมัน 12% ของทั้งโลก และมีมูลค่าการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 68% ของการส่งออกทั้งหมดของรัสเซีย … ก็คือราคาน้ำมันมีผลมากต่อเศรษฐกิจโดยรวมของรัสเซีย จริงดังที่ Johnson กล่าว

(ข้อมูลจาก www.eia.gov)

ในส่วนของการค้าระหว่างยุโรปกับรัสเซีย ก็ค้นพบว่า รัสเซียเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของยุโรป และยุโรปเองเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของรัสเซีย โดยสินค้าส่งออกของรัสเซีย (นำเข้าไปที่ยุโรป) หลัก ๆ ก็คือ น้ำมันและก๊าซ

(ข้อมูลจาก ec.europa.eu)

ในด้านการค้าการลงทุนระหว่างยุโรปและสหรัฐฯ ก็มีปริมาณระหว่างกันสูงมากเช่นกัน

(ข้อมูลจาก ec.europa.eu)

เท่ากับว่าเรื่องน้ำมันนี้ เป็น Chain reaction ที่จริง ๆ แล้วได้เจ็บทั่วกัน ทั้งในบ้านเราและบ้านเขา … อย่างที่เห็น

แล้วเรา นักลงทุนตัวเล็ก ๆ ในตลาดเล็ก ๆ อย่างเมืองไทย จะทำอะไรได้บ้าง ? … ตอบจริง ๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า การทำความเข้าใจเรื่องราว และปรับตัวตามให้ทัน เพราะในวิกฤติย่อมมีโอกาส แต่ในโอกาส ถ้าตีโจทย์ไม่แตกจริง ก็อาจกลายเป็นวิกฤติได้เช่นกัน 🙂