Thoughts & Quotes

เมื่อมวลมหาประชาจีนมาเที่ยวไทย เอายังไงดี

screenshot.159

เห็นตัวเลขยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเมืองไทยตลอดปี 2558 รวมถึงยอดใช้จ่ายโดยรวม และยอดเฉลี่ยต่อหัว ถึงกับอึ้งว่า “คนจีน” ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกันในด้านพฤติกรรมการท่องเที่ยว กลับเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดคือ 7.93 ล้านคน หรือคิดเป็น 26.55% (เกิน 1/4) ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด 29.88 ล้านคน และมียอดใช้จ่ายรวมกัน 376,001 ล้านบาท คิดเป็น 25.98% ของยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั้งหมด 1,447,158 ล้านบาท (ประมาณ 10% ของ GDP)

และเมื่อจับเอายอดใช้จ่ายหารจำนวนคน ก็พบว่า นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่าย 47,386 บาท/คน สูงกว่า ชาวมาเลย์ ชาวสิงคโปร์ หรือแม้แต่ชาวญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นรองก็กลุ่มชาวยุโรป แต่จำนวนก็ยังมากกว่ากันเป็นหลายเท่าตัว

screenshot.155

ประกอบกับมีคนใกล้ตัวทำงานในธุรกิจโรงแรมโดยตรง ก็เลยได้รู้ว่า คนจีนมีหลายระดับ โรงแรมระดับ 4-5 ดาวในวันนี้ ที่ยังอยู่ได้ก็เพราะลูกค้าจีน ซึ่งกลุ่มนี้มีเงินและมีคุณภาพ หลังจากที่ลูกค้ารัสเซียหดหายไปเกือบครึ่งเพราะค่าเงินที่ร่วง ก็ได้จีนนี่แหละ เข้ามาช่วยทดแทนได้แบบทันท่วงที โดยปี 2558 ที่ผ่านมา ในภาพรวม นักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 71% และใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 88%

screenshot.157(โหลดตารางตัวเต็มได้ที่นี่ Tourism Data 2014-2015P)

พอเห็น “ข้อเท็จจริง” แบบนี้ ก็เลยเกิดคำถามว่า ที่คนไทยจำนวนหนึ่งเหมารวมว่านักท่องเที่ยวจีนทุกคน “เสื่อม” นั้น เราควรแก้ปัญหาอย่างไร

(1) ห้ามคนจีนเข้ามาเที่ยวไทยอย่างเด็ดขาด หรือไม่ก็ห้ามโรงแรมรับแขกชาวจีน หรือ ปฏิบัติมาตรฐานที่สาม (มาตรฐานที่สอง คือ นักท่องเที่ยวจ่ายแพงกว่าคนไทย) กับลูกค้าชาวจีน เช่น ห้ามใช้บริการบางอย่าง หรือ คิดราคาแพงกว่า … โดยไม่สนว่ายอดรายได้ 376,000 ล้านบาท จะหายไปเท่าไร ไม่สนว่าพนักงานหรือลูกจ้างรายวันในอุตสาหกรรมนี้จะกินอยู่อย่างไร

 หรือ

(2) ให้ผู้มีอำนาจ กวดขันให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามเกณฑ์ เช่น บริษัททัวร์และไกด์ต้องมีใบอนุญาตถูกต้อง กำชับให้หัวหน้าทัวร์ต้องควบคุมให้ลูกทัวร์ไม่ทำเสื่อม การเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต้องเข้มงวดให้นักท่องเที่ยวทุกคนทุกสัญชาติไม่ทำตัวฝ่าฝืนกฏ ไม่สมยอมเพื่อหาผลประโยชน์ … ทั้งนี้ เท่าที่จะทำได้อย่างสุดความสามารถ … ซึ่งข้อนี้ ถ้าไม่ทำจริงจัง แม้จะปิดประเทศมีแต่นักท่องเที่ยวไทยกันเอง ก็เละได้อยู่ดี

คืออันนี้ไม่ได้หมายความว่า ใครจะเข้ามาทำไม่ดีกับประเทศเราก็ได้หมด ถ้าเงินถึง … แต่พอมองความจริงแล้วรู้ว่า มันห้ามไม่ได้ เลือกไม่ได้ การมีเขาเราก็ได้ประโยชน์อยู่มาก และการไม่มีเขาเราก็ลำบาก จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องที่เราจะต้องดูแลตัวเองให้ดี ผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่รอบคอบและจริงจัง

ที่มาของข้อมูล: กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา http://goo.gl/CajDQV

2 replies »

  1. สัดส่วน 26.55% แต่ยอดค่าใช้จ่ายต่อคนไม่ได้มาเป็นที่หนึ่งครับ
    แต่ดูที่ลำดับ ที่ 5 คือ Australia 2.7% ค่าใช้จ่ายต่อคน คือ 78,716 ซึ่งสูงกว่า อันดับหนึ่ง
    ผมคืดว่าตอนนี้ เรา focus ไป ที่ Quality มากกว่า Quantity ครับ เลยทำให้เกิดปํญหา เพราะส่วนใหญ่ทัวร์จีนที่เข้ามาเป็น volume market ครับ

  2. 1. ที่ยกข้อมูลมา ก็ถูกต้อง แต่ไม่มีตรงไหนบอกหรือพยายามนำเสนอว่าจีนใช้จ่ายเป็นที่ 1

    2. Revenue = P x Q … ถ้า Q เยอะกว่ากันมาก ๆ เป็นหลายเท่าตัว อย่างในกรณีนี้ (China vs Australia คือประมาณ 6 เท่าตัว) และ P ไม่ได้ห่วย (น้อยกว่ากันไม่ถึงครึ่ง) ต่อให้ไม่อยากสนก็ต้องสน …

    3. เมื่อดูจากยอดใช้จ่ายต่อหัวที่ไม่น้อย (น้อยกว่าลำดับที่ 1 คือสวีเดน ไม่ถึงครึ่ง) ก็คิดว่าไม่สามารถจะกล่าวได้ว่าเป็น Volume market ล้วน ๆ … วอลุ่มเยอะจริง แบบโคตรเยอะเลย แต่ spending per person ก็ไม่น้อย

    4. แล้วยิ่งเราเชื่อว่ามีนักท่องเที่ยวจีนที่เสื่อมและใช้จ่ายน้อย จำนวนมากแค่ไหน เมื่อคิดกันตามตัวเลขค่าเฉลี่ย ก็แปลว่า “ส่วนที่เหลือ” คือสุดยอดหัวกะทินักเที่ยวชาวจีนที่ใช้จ่ายมหาศาล

    5. ถ้าจะ Focus ที่ Quality … แล้วต้องทำยังไงบ้าง ในทางปฏิบัติ ? [ผมว่าทางที่สร้างสรรค์คือ สนับสนุน/เชื้อเชิญ/ทำการตลาด ให้ประเทศที่ใช้จ่ายสูง/สูงมาก เข้ามาเที่ยวเยอะขึ้น ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ว่ากันไป … แต่ทั้งนี้ ก็ต้องดูงบประมาณด้วยว่าเอาเงินไปลงทุนในส่วนไหน จะได้ผลตอบแทนดีสุด เช่น เงิน 1 บาท เอาไปใช้ชวนคนประเทศ A มาเที่ยวไทย จะได้ Revenue กลับเข้ามา 50 บาท แต่เงิน 1 บาทเท่ากัน เอาไปใช้ชวนคนประเทศ B ได้ผลแค่ 10 บาท แบบนี้ก็ต้องเทไปทาง A มากหน่อย เพราะ ROI สูงกว่า (อันนี้ยกตัวอย่างเป็นไอเดียนะครับ ตัวเลขจริงไม่มีข้อมูล)]

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *