Investment Articles

ลงทุนยาวไป ได้เท่าไรกันนะ ?!? | ฉบับอัพเดทตัวเลขสดใหม่และเพิ่มประเภทสินทรัพย์

screenshot.349

คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราคงเคยได้ยินมาบ่อยครั้งว่า “เริ่ม(ลงทุน)ก่อนรวยกว่า” หรือไม่ก็ “ออมวันนี้เพื่อวันหน้า” และก็มักจะเห็นกราฟแสดงจำนวนเงินออมเงินลงทุนระยะยาว ในกรณีที่ได้รับผลตอบแทนต่าง ๆ กัน และ/หรือ กรณีที่ระยะเวลาออม/ลงทุนต่างกัน เช่น

1) ไม่มีเงินมาก่อนเลย แต่นับจากนี้สามารถเติมเงินได้เดือนละ 5,000 และได้ผลตอบแทน 2% ต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี จะมีเงิน 2,463,627 screenshot.174

2) เหมือนกับกรณี 1 (คือผลตอบแทน 2% ต่อปี) แต่เริ่มช้าไป 10 ปี คือเหลือระยะเวลา 20 ปี แบบนี้ตอนจบจะมีเงิน 1,473,984 ก็คือ ช้าไป 10 ปี มีเงินน้อยกว่ากันถึงประมาณ 1 ล้านscreenshot.175

3) ระยะเวลา 30 ปีเท่ากันกับกรณี 1 แต่ทำผลตอบแทนได้เพิ่มจาก 2% เป็น 5% ต่อปี จำนวนเงินตอนจบจะเพิ่มเป็น 4,161,293 เท่ากับว่า ผลตอบแทนเพียง 3% ที่เพิ่มขึ้นตลอด 30 ปีนั้น สร้างเงินได้มากขึ้นถึง 1.7 ล้านscreenshot.176

4) เหมือนกับกรณี 3 (ระยะเวลาลงทุน 30 ปี) แต่ได้ผลตอบแทนเพิ่มเป็น 15% ต่อปี จะทำให้ตอนจบมีเงินมากถึง 34,616,398 พูดอีกอย่างคือ ผลตอบแทน +10% ที่เพิ่มขึ้นจากกรณี 3 สร้างเงินได้มากขึ้นไปอีก 30.5 ล้าน !!!screenshot.177

จากตัวอย่างทั้ง 4 ก็พอจะเห็นภาพว่า ยิ่งได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงเท่าไร เมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้มากขึ้นในอัตราก้าวหน้า !!

(การคำนวณทั้ง 4 กรณี ได้ผลมาจาก helpfulcalculators.com)

พอเห็นตัวเลขถึงจุดนี้นักออมเงินรุ่นใหม่ก็มักจะฟินในอารมณ์ เพราะฝันเห็นความมั่งคั่งของตัวเองเพิ่มพูนมหาศาลเมื่อยามสูงวัย จากตัวเปล่า กลายเป็นเศรษฐีหลายสิบล้าน … แต่แล้ว พอจะเริ่มออมหรือลงทุนเข้าจริง ๆ กลับไปสะดุดกึกกับคำถามตัวโตที่ว่า “แล้วสินทรัพย์แบบไหนล่ะ ที่ให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว?” หรือไม่ก็ “ถ้าจะหวังผลตอบแทนระยะยาวเฉลี่ย 15% ต่อปี ต้องลงทุนในอะไร?” หลายคนจึงหยุดกระบวนการฝันฟิน ณ จุดนี้ เพราะไปต่อไม่ถูก แล้วก็เอาเงินไปฝากออมทรัพย์หรือเอาไปซื้อ smartphone รุ่นใหม่ เช่นเคย

แต่ไม่ต้องงงอีกต่อไป เพราะข้อมูลต่อไปนี้ จะช่วยให้เห็นภาพว่า การลงทุนในอะไร ให้ผลตอบแทนประมาณไหนในระยะยาว (เท่าที่พอจะมีข้อมูลย้อนหลังให้คำนวณได้)

อันดับแรกที่นำโด่งมาคือ การลงทุนในกลุ่มหุ้นสามัญขนาดเล็ก (วัดจาก mai Total Return Index ที่รวมผลตอบแทนจากทั้งราคาที่เปลี่ยนไป เงินปันผลที่ได้ และการได้รับแจกสิทธิต่าง ๆ เช่น Warrant) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 17.96% ต่อปี ตลอด 13 ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา

ที่ตามมาติด ๆ คือ การลงทุนในกลุ่มหุ้นสามัญทั่วไป (วัดจาก SET Total Return Index) ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15.66% ต่อปี ตลอดเวลา 14 ปีกว่าที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นปันผลดี (SET30 HD Total Return Index) กลับให้ผลตอบแทนรวมต่ำอย่างอย่างประหลาดใจ คือแค่ 5.59% ต่อปีเท่านั้น ตลอดเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา

สินทรัพย์การลงทุนอีกประเภทที่ให้ผลตอบแทนดีงามตามหุ้นเล็กและหุ้นทั่วไปมาติด ๆ ก็คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนับรวมทั้ง Property Fund และ REIT โดยให้ผลตอบแทนถึง 8.87% ต่อปี ตลอด 7 ปีเศษที่ผ่านมา และที่สำคัญ ตัวเลข 8.87% ต่อปีที่ว่านี้มาจากกำไรที่เกิดจากส่วนต่างราคาเท่านั้น ยังไม่รวมเงินปันผลซึ่งเป็นคุณสมบัติหลักของสินทรัพย์ประเภทนี้ เมื่อดูข้อมูลจากระบบ setsmart.com ก็พบว่าสินทรัพย์กลุ่มให้ผลอัตราเงินปันผลเฉลี่ย 4.80% เท่ากับ Total Return ของ Property & REIT ณ ตอนนี้คือ 13.67% ต่อปี #มันเยอะมาก

นอกจากนั้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างที่ดินเปล่าหรือคอนโดมิเนียม ก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 8.17% ต่อปี และ 6.17% ต่อปี ตามลำดับ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (เท่าที่มีข้อมูล) ส่วนการลงทุนในทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวนั้น ให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% ต่อปี

ส่วนการลงทุนในทองคำ หากมองกันยาว ๆ ย้อนหลังไป 21 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระดับ 5.78% ต่อปี ก็คือไม่ได้มากมายนัก หลังจากที่ราคาทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,800 USD/Oz แล้วก็ร่วงยาวมาอยู่ที่ระดับ 1,100-1,300 USD/Oz ในช่วง 2-3 ปีล่าสุดนี้

ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ และ กองทุนรวมตลาดเงินที่ใช้ทดแทนเงินสดหรือเงินฝากออมทรัพย์ ให้ผลตอบแทนต่ำเพียง 3.01% ต่อปี และ 2.23% ต่อปี เท่านั้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ มีเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ในระดับ 2.83% ต่อปี (ค่าเฉลี่ยตลอดเวลา 19 ปี) คอยไล่ล่าทำลายมูลค่าเงินของเราอยู่ตลอดเวลา

screenshot.348(คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่เต็มตา)

จากข้อมูลทั้งหมด ก็พอจะสรุปได้ว่า

  1. จะลงทุนหรือออมอะไร ต้องได้ผลตอบแทนอย่างน้อยประมาณ 3% ต่อปีไว้ก่อน ถ้าหลงไปทำอะไรที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่านี้ เท่ากับ ยิ่งนานยิ่งเสื่อมค่า เมื่อเทียบกับกำลังซื้อของเราจริง ๆ ที่มีตัวแปรคืออัตราเงินเฟ้อ (ความจริงลงทุนในอะไร ถ้า adjust ด้วยเงินเฟ้อแล้วมันก็ให้ผลตอบแทนต่ำลงทั้งสิ้น แค่ถ้าลงทุนต่ำกว่าอัตราเงินเฟ่้อ inflation-adjusted yield มันจะติดลบ)
  2. ถ้าหวังผลตอบแทนระดับ 6%- 9% ต่อปี ต้องพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมอสังสหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดหรือที่ดิน
  3. แต่ถ้าหวังสูงจริงจังคือผลตอบแทนระดับ 15% ต่อปีขึ้นไป ก็ต้องลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้น 

และจากการคำนวณผลจากการลงทุนในระยะยาวที่แสดงให้เห็นไว้ช่วงแรกของบทความนี้ ก็พอจะสรุปของสรุปได้ว่า ถ้าหวังจะรวยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่แค่พออยู่พอกิน ต้องลงทุนในหุ้นเท่านั้น หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องกองทุนอสังหาฯ ที่ดินหรือไม่ก็คอนโด … ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านหรือทาวเฮาส์ ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำ จะไม่สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายได้เลย 

การลงทุนมีความเสี่ยงเป็นเงาตามตัวอยู่เสมอ แต่การไม่กล้ารับความเสี่ยงอย่างเพียงพอ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวในอัตราที่สูงพอ เท่ากับว่าเรา “ปิดประตู” การไปถึงเป้าหมายของเราแล้วอย่างสิ้นเชิง เช่นคิดมาแล้วว่าต้องได้ผลตอบแทนอย่างต่ำ 10% ต่อปี แต่ไม่กล้า ไม่มีความรู้ เลยมีแต่กองทุนรวมตลาดเงินหรือตราสารหนี้เต็มไปหมด แบบนี้จนเกษียณก็ไปไม่ถึงไหน

แต่อย่างไรก็ดี การจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นคง โดยที่จะไม่ล้มหายตายจากเพราะขาดทุนหมดตัวไปเสียก่อน ก็จะต้องศึกษาหาความรู้  เพื่อให้รู้ลึก รู้จริง ด้วยเช่นกัน #KeepLearning

—————

ทำความรู้จักผู้เขียนให้มากขึ้น [ที่นี่]

 

 

 

2 replies »

  1. ขอบคุณที่ทำข้อมูลมาแบ่งปันกันครับ อยากให้ผู้ใช้ข้อมูลสังเกตด้วยว่าผลตอบแทนที่แสดงข้างต้นมาจากคนละช่วงเวลากัน (ปีที่เริ่มต้นของการคำนวณผลตอบแทน) ซึ่งเป็นข้อพึงระวังในการเปรียบเทียบข้อมูลครับ / อำนาจ

  2. ถูกต้องครับและขอบคุณสำหรับข้อสังเกตครับ เหตุผลเพราะต้องการให้ได้ตัวเลขที่เกิดจากข้อมูลระยะยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ของสินทรัพย์แต่ละประเภท ถ้าหยิบเอาข้อมูลตัวที่สั้นที่สุดมาเป็นเกณฑ์ของสินทรัพย์ทุกรายการ ก็จะสั้นเกินไป 🙂

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *