ในรูปแบบเดิม ๆ นั้น การจะได้กองทุนรวมสักกองมาช่วยเสริมพลัง wealth ต้องผ่านกระบวนการที่ไม่ง่าย เริ่มคิดก็ปวดหัวแล้วว่า “แล้วกองไหนดี ?” แถมเมื่อหาเจอกองที่ดีที่น่าสนใจแล้ว ยังต้องออกเดินทางไปซื้อเองถึงที่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นสาขาของธนาคารที่เป็นบริษัทแม่ของกองทุนนั้น ๆ เช่น อยากซื้อกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า บลจ.) A ก็ต้องไปซื้อที่สาขาของธนาคาร A และยิ่งเรามีกองทุนในดวงใจหลายกองหลายค่าย ก็ต้องวิ่งไปซื้อหลายแห่งไม่ต่างกับการตระเวนทำบุญ 9 วัด
จึงแน่นอนว่า ถ้ามีคนคัดกองทุนที่ดี และช่วยให้เราซื้อจบได้ในที่เดียว เราก็จะได้ความสะดวกสบายและได้โอกาสลงทุนที่มีศักยภาพสูงไปพร้อมกัน
ล่าสุด ธนาคารทหารไทย ได้เสนอบริการ TMB Open Architecture (TMB OA) ที่รวบรวมกองทุนดีเด่นจากบลจ.ชั้นนำถึง 7 แห่ง มาไว้ในที่เดียวกัน หมายความว่า จากเดิม ถ้าจะซื้อกองทุนรวมของ 7 ค่าย จะต้องวิ่งไปซื้อ 7 ที่ แต่ด้วย TMB OA เราสามารถซื้อครบจบได้ด้วยการไปติดต่อที่สาขาของธนาคารทหารไทยเพียงที่เดียว ซึ่งมีถึง 450 สาขาทั่วประเทศ และการที่ TMB ลงทุนสร้างระบบที่เปิดกว้างโดยการจับมือกับ 7 บลจ. ให้นักลงทุนมีชีวิตที่ง่ายขึ้นนั้น ก็เป็นที่มาของศัพท์ที่ว่า “Open Architecture” นั้นเอง (เผื่อใครงงว่าที่ Open เขา Open อะไร)
ซึ่งบลจ. ที่เข้าร่วมใน TMB OA ได้แก่
- Aberdeen
- CIMB Principal
- Manulife
- TMBAM
- UOBAM
- ONE Asset
- TISCO
โดยกองทุนที่ซื้อขายผ่าน TMB OA ได้ ก็มาครบทุกประเภท ตั้งแต่กองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนหุ้น กองทุนต่างประเทศ ไปจนถึงกองทุนหุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
นอกจากจะเลือกกองทุนตามประเภทกองทุนแล้ว TMB OA ยังแบ่งประเภทกองทุนตามสไตล์ของนักลงทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี (และได้ผลตอบแทนดีด้วย) อย่าง LTF/RMF กองทุนสำหรับผู้เริ่มลงทุนอย่างกองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ และกองทุนผสม ไปจนถึงกองทุนสำหรับมือโปรหรือผู้ต้องการผลตอบแทนสูงอย่างกองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ
และเนื่องจากตอนนี้ก็เข้าช่วงโค้งสุดท้ายของปี เป็นฤดูกาลที่คนทำงานจะต้องเตรียมวางแผนซื้อกองทุนหุ้นระยะยาวหรือ LTF กันแล้ว (บางคนทยอยซื้อไปแล้ว) จึงขอแนะนำกองทุน LTF ท็อปฮิตของ TMB OA ให้เป็นข้อมูลกันสัก 3 ตัว
1. Good Corporate Governance LTF (กองทุนเปิด บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว) หรือ CG-LTF
กองทุนนี้บริหารโดย บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2559 มีขนาดกองทุน 6,857 ล้านบาท นับเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของบลจ.นี้ มีจุดเด่นที่การเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่มีระบบธรรมาภิบาลดี รวมถึงปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่ากองทุน
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2559) ของ CG-LTF โดดเด่นกว่าดัชนีชี้วัดหรือ Benchmark อย่างต่อเนื่อง ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน 10.25% สูงกว่า SET Index ที่ให้ผลตอบแทน 7.73% ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ให้ผลตอบแทน 21.33% ในขณะที่ SET Index บวกขึ้นมาเพียง 4.64% และหากมองกันตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2547 CG-LTF บวกขึ้นมาแล้ว 400.74% ขณะที่ SET Index บวกขึ้นมาเพียง 136.61% (ที่มา: บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ณ 30 ก.ย.59)
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี เป็นอันดับ 1 ใน Top 10 LTF และได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar ในกลุุ่ม Equity Large-Cap โดยมีความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 ตามความเสี่ยงของกองทุนหุ้น (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 ก.ย.59)
ผู้ที่สนใจสามารถเริ่มลงทุนครั้งแรกใน CG-LTF ด้วยเงินเพียง 2,000 บาท และสามารถขายได้เงินในวันที่ T+4 (อย่าลืมเช็คเงื่อนไขทางภาษีก่อนขาย)
2. Value Plus Dividend LTF (กองทุนเปิด แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว) หรือ Value D-LTF
Value D-LTF เป็นอีกกองทุนชั้นนำของบลจ.ยูโอบี ที่มีขนาดกองทุน 3,575 ล้านบาท เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีพื้นฐานดีและผลประกอบการดี ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่ากองทุน แถมตัวกองทุนยังมีการจ่ายปันผลออกมาอย่างต่อเนื่อง
กองทุนนี้มีผลตอบแทนสูงกว่า Benchmark อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน 11.79% เทียบกับ SET Index ที่บวก 7.73% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน 15.97% เทียบกับ SET Index ที่ให้ผลตอบแทน 4.64% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2550 ทำมาได้ 218.90% เทียบกับ SET Index ที่บวก 93.93% (ที่มา: บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ณ 30 ก.ย. 59)
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี เป็นอันดับ 3 ใน Top 10 LTF และได้รับ Morningstar Rating 4 ดาว ในกลุ่ม Equity Large-Cap (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 ก.ย.59) และมีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6
Value D-LTF เริ่มลงทุนด้วยเงิน 2,000 บาท ขายได้เงินวันที่ T+4 และมีการจ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง
3. Manulife Strength Core LTF (กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ คอร์ หุ้นระยะยาว) หรือ MS-CORE LTF
กองทุน LTF ชั้นนำจากบลจ.ระดับโลกสัญชาติแคนาเดียน นับเป็น Flagship fund ของบลจ.แมนูไลฟ์ด้วยขนาดกองทุน 483 ล้านบาท เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเสาหลักของตลาดที่มีผลการดำเนินงานดี ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่ากองทุน
ผลตอบแทนในอดีตของ MS-CORE LTF โดดเด่นกว่า Benchmark อย่างต่อเนื่องไม่แพ้สองกองแรก ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทำผลตอบแทนได้ 12.60% เทียบกับ SET Index 7.73% ช่วง 3 ปีทีผ่านมาให้ผลตอบแทน 18.41% เทียบกับ SET Index ที่ 4.64% และให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2550 เท่ากับ 202.09% เทียบกับ SET Index ซึ่งทำได้ 91.09% (ข้อมูล: บลจ.แมนูไลฟ์ ณ วันที่ 30 ก.ย.59 )
ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี เป็นอันดับ 5 ใน Top 10 LTF และได้รับ Morningstar Rating 5 ดาว ในกลุ่ม Equity Large-Cap (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 ก.ย.59) และมีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6
MS-CORE LTF เริ่มลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท และจะได้รับเงินค่าขายในวันที่ T+3
ใครที่สนใจกองทุนชั้นนำจาก 7 บลจ.แถวหน้าของประเทศ โดยเฉพาะ LTF ทั้ง 3 กองข้างต้น สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/EGKfc8 และสามารถซื้อได้สาขา TMB ทั่วประเทศ
และต้องไม่ลืมทำความเข้าใจลักษณะของกองทุน ตลอดจนเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เพราะหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับพร้อมเงินเพิ่ม รวมทั้งเสียภาษีสำหรับกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนด้วย
[Special Content]
Categories: Investment Articles