Investment Articles

จะดีกว่ามั้ย ถ้าซื้อกองทุนดีและดังได้ในที่เดียว

ในรูปแบบเดิม ๆ นั้น การจะได้กองทุนรวมสักกองมาช่วยเสริมพลัง wealth ต้องผ่านกระบวนการที่ไม่ง่าย เริ่มคิดก็ปวดหัวแล้วว่า “แล้วกองไหนดี ?” แถมเมื่อหาเจอกองที่ดีที่น่าสนใจแล้ว ยังต้องออกเดินทางไปซื้อเองถึงที่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นสาขาของธนาคารที่เป็นบริษัทแม่ของกองทุนนั้น ๆ เช่น อยากซื้อกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า บลจ.) A ก็ต้องไปซื้อที่สาขาของธนาคาร A และยิ่งเรามีกองทุนในดวงใจหลายกองหลายค่าย ก็ต้องวิ่งไปซื้อหลายแห่งไม่ต่างกับการตระเวนทำบุญ 9 วัด

จึงแน่นอนว่า ถ้ามีคนคัดกองทุนที่ดี และช่วยให้เราซื้อจบได้ในที่เดียว เราก็จะได้ความสะดวกสบายและได้โอกาสลงทุนที่มีศักยภาพสูงไปพร้อมกัน

tmboa_fb_tophit_221159_r5_01

ล่าสุด ธนาคารทหารไทย ได้เสนอบริการ TMB Open Architecture (TMB OA) ที่รวบรวมกองทุนดีเด่นจากบลจ.ชั้นนำถึง 7 แห่ง มาไว้ในที่เดียวกัน หมายความว่า จากเดิม ถ้าจะซื้อกองทุนรวมของ 7 ค่าย  จะต้องวิ่งไปซื้อ 7 ที่ แต่ด้วย TMB OA เราสามารถซื้อครบจบได้ด้วยการไปติดต่อที่สาขาของธนาคารทหารไทยเพียงที่เดียว ซึ่งมีถึง 450 สาขาทั่วประเทศ และการที่ TMB ลงทุนสร้างระบบที่เปิดกว้างโดยการจับมือกับ 7 บลจ. ให้นักลงทุนมีชีวิตที่ง่ายขึ้นนั้น ก็เป็นที่มาของศัพท์ที่ว่า “Open Architecture” นั้นเอง (เผื่อใครงงว่าที่ Open เขา Open อะไร)

ซึ่งบลจ. ที่เข้าร่วมใน TMB OA ได้แก่

  1. Aberdeen
  2. CIMB Principal
  3. Manulife
  4. TMBAM
  5. UOBAM
  6. ONE Asset
  7. TISCO

โดยกองทุนที่ซื้อขายผ่าน TMB OA ได้ ก็มาครบทุกประเภท ตั้งแต่กองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนหุ้น กองทุนต่างประเทศ ไปจนถึงกองทุนหุ้นระยะยาว และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ

นอกจากจะเลือกกองทุนตามประเภทกองทุนแล้ว TMB OA ยังแบ่งประเภทกองทุนตามสไตล์ของนักลงทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี (และได้ผลตอบแทนดีด้วย) อย่าง LTF/RMF กองทุนสำหรับผู้เริ่มลงทุนอย่างกองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ และกองทุนผสม ไปจนถึงกองทุนสำหรับมือโปรหรือผู้ต้องการผลตอบแทนสูงอย่างกองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ

และเนื่องจากตอนนี้ก็เข้าช่วงโค้งสุดท้ายของปี เป็นฤดูกาลที่คนทำงานจะต้องเตรียมวางแผนซื้อกองทุนหุ้นระยะยาวหรือ LTF กันแล้ว (บางคนทยอยซื้อไปแล้ว) จึงขอแนะนำกองทุน LTF ท็อปฮิตของ TMB OA ให้เป็นข้อมูลกันสัก 3 ตัว

1. Good Corporate Governance LTF (กองทุนเปิด บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว) หรือ CG-LTF

กองทุนนี้บริหารโดย บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2559 มีขนาดกองทุน 6,857 ล้านบาท นับเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของบลจ.นี้ มีจุดเด่นที่การเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่มีระบบธรรมาภิบาลดี รวมถึงปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่ากองทุน

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2559) ของ CG-LTF โดดเด่นกว่าดัชนีชี้วัดหรือ Benchmark อย่างต่อเนื่อง ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน 10.25% สูงกว่า SET Index ที่ให้ผลตอบแทน 7.73% ในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ให้ผลตอบแทน 21.33% ในขณะที่ SET Index บวกขึ้นมาเพียง 4.64% และหากมองกันตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2547 CG-LTF บวกขึ้นมาแล้ว 400.74% ขณะที่ SET Index บวกขึ้นมาเพียง 136.61% (ที่มา: บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ณ 30 ก.ย.59)

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี เป็นอันดับ 1 ใน Top 10 LTF และได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar ในกลุุ่ม Equity Large-Cap โดยมีความเสี่ยงของกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 ตามความเสี่ยงของกองทุนหุ้น (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 ก.ย.59)

ผู้ที่สนใจสามารถเริ่มลงทุนครั้งแรกใน CG-LTF ด้วยเงินเพียง 2,000 บาท และสามารถขายได้เงินในวันที่ T+4 (อย่าลืมเช็คเงื่อนไขทางภาษีก่อนขาย)

2. Value Plus Dividend LTF (กองทุนเปิด แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว) หรือ Value D-LTF

Value D-LTF เป็นอีกกองทุนชั้นนำของบลจ.ยูโอบี ที่มีขนาดกองทุน 3,575 ล้านบาท เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีพื้นฐานดีและผลประกอบการดี ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่ากองทุน แถมตัวกองทุนยังมีการจ่ายปันผลออกมาอย่างต่อเนื่อง

กองทุนนี้มีผลตอบแทนสูงกว่า Benchmark อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน 11.79% เทียบกับ SET Index ที่บวก 7.73% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทน 15.97% เทียบกับ SET Index ที่ให้ผลตอบแทน 4.64% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2550 ทำมาได้ 218.90% เทียบกับ SET Index ที่บวก 93.93% (ที่มา: บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ณ 30 ก.ย. 59)

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี เป็นอันดับ 3 ใน Top 10 LTF และได้รับ Morningstar Rating 4 ดาว ในกลุ่ม Equity Large-Cap (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 ก.ย.59) และมีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6

Value D-LTF เริ่มลงทุนด้วยเงิน 2,000 บาท ขายได้เงินวันที่ T+4 และมีการจ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง

3. Manulife Strength Core LTF (กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ คอร์ หุ้นระยะยาว) หรือ MS-CORE LTF 

กองทุน LTF ชั้นนำจากบลจ.ระดับโลกสัญชาติแคนาเดียน นับเป็น Flagship fund ของบลจ.แมนูไลฟ์ด้วยขนาดกองทุน 483 ล้านบาท เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเสาหลักของตลาดที่มีผลการดำเนินงานดี ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่ากองทุน

ผลตอบแทนในอดีตของ MS-CORE LTF โดดเด่นกว่า Benchmark อย่างต่อเนื่องไม่แพ้สองกองแรก ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทำผลตอบแทนได้ 12.60% เทียบกับ SET Index 7.73% ช่วง 3 ปีทีผ่านมาให้ผลตอบแทน 18.41% เทียบกับ SET Index ที่ 4.64% และให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2550 เท่ากับ 202.09% เทียบกับ SET Index ซึ่งทำได้ 91.09% (ข้อมูล: บลจ.แมนูไลฟ์ ณ วันที่ 30 ก.ย.59 )

ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี เป็นอันดับ 5 ใน Top 10 LTF และได้รับ Morningstar Rating 5 ดาว ในกลุ่ม Equity Large-Cap (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 30 ก.ย.59) และมีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6

MS-CORE LTF เริ่มลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท และจะได้รับเงินค่าขายในวันที่ T+3

screenshot-485

ใครที่สนใจกองทุนชั้นนำจาก 7 บลจ.แถวหน้าของประเทศ โดยเฉพาะ LTF ทั้ง 3 กองข้างต้น สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/EGKfc8 และสามารถซื้อได้สาขา TMB ทั่วประเทศ

และต้องไม่ลืมทำความเข้าใจลักษณะของกองทุน ตลอดจนเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน รวมถึงศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว เพราะหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับพร้อมเงินเพิ่ม รวมทั้งเสียภาษีสำหรับกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนด้วย

[Special Content]

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *