ถ้าพูดถึงแอปด้านการเดินทางในประเทศไทย ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึง Uber และ Grab โดย Uber นั้นมาจากสหรัฐอเมริกา ส่วน Grab มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ โดยทั้งสองค่ายนั้นมาทำธุรกิจในประเทศไทยได้หลายปีแล้ว คนเมืองแทบจะทุกคนต้องรู้จักและหลายคนก็ใช้บริการเป็นประจำ เลยคิดว่าน่าสนใจ ถ้าจะจับเอาสองบริษัทนี้มาเทียบกัน ว่าในเมืองไทย มีสถานะและผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร ตามงบการเงินที่เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ
1. การจัดตั้งบริษัท
• Uber: 18 กุมภาพันธ์ 2557 ในนาม บริษัท อูเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด .. (การพูดถึง “Uber” ต่อไปในบทความนี้ จะหมายถึงบริษัทนี้)
• Grab: 6 มิถุนายน 2556 ในนาม บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด .. (การพูดถึง “Grab” ต่อไปในบทความนี้ จะหมายถึงบริษัทนี้)
2. ทุนจดทะเบียน
• Uber: 8.40 ล้านบาท
• Grab: 15.00 ล้านบาท
3. ผู้ถือหุ้นใหญ่
• Uber: Uber Technologies, Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา ในสัดส่วน 99.98%
• Grab: บริษัท แกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วน 50.9993% และ Grab, Inc. หมู่เกาะเคย์แมน 49.000% และผู้ถือหุ้นสัญชาติไทย 0.0007%
นั่นแปลว่า Grab เป็นบริษัทสัญชาติไทยตามนิยาม 51% (อย่าลืมว่า Grab ณ ที่นี้หมายถึงบริษัทในไทยนะครับ) ในขณะที่ Uber เป็นบริษัทต่างชาติเต็มตัว
4. ฐานะการเงิน (งบดุล) ณ 31 ธันวาคม 2559
• Uber: สินทรัพย์รวม 45.16 ล้านบาท หนี้สินรวม 30.93 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 14.23 ล่านบาท
• Grab: สินทรัพย์รวม 133.48 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,256.25 ล้านบาท !! และส่วนของผู้ถือหุ้น ติดลบ 1,122.77 ล้านบาท
โดยหนี้สินหลักของ Grab คือเงินกู้ยืมระยะสั้น 1,172.90 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นเงินกู้ยืมจากบริษัทแม่หรือบริษัทในเครือนั่นเอง คือแทนที่จะใส่เงินมาเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น ก็ใส่มาเป็นเงินให้กู้ยืมแทน ซึ่งในเชิงของ Cash Flow แล้วไม่ต่างกัน เพราะได้เงินสดมาเข้าบริษัทเหมือนกัน
5. ผลการดำเนินงาน (งบกำไรขาดทุน) 3 ปีล่าสุด ตามที่ส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ถ้าดูตามนี้ จะเห็นว่า Grab เน้นการเติบโด โดยยอมมีค่าใช้จ่ายบวมมหาศาล เข้าลักษณะ Startup มาตรฐานที่ต้องมี Burn rate สูงมาก ๆ ในช่วงต้น เพื่อขยายฐานผู้ใช้งานให้เร็วที่สุด ส่วน Uber กลับมีกำไรมาหลายปีแล้ว ขณะที่การแข่งขันก็เข้มข้นมาตลอด จนแปลกใจว่าหรือจริง ๆ แล้วต้นทุนของ Uber ถูกโอนไปอยู่ที่อื่นนอกประเทศไทย เพื่อให้งบการเงินมีกำไร .. แถมงบดุลก็ยังมีส่วนทุนเป็นบวก ไม่เหมือน Grab ที่ติดลบมหาศาล
ซึ่งปี 2560 จะมีผลการดำเนินการออกมาอย่างไร ก็ต้องรอประมาณกลางปี 2561 ถึงจะได้เห็นกัน
ส่วนใครที่อยากดูข้อมูลบริษัทไหน ๆ ก็ได้ในประเทศไทย สามารถลงทะเบียนและใช้งาน ฟรี !! ได้ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าครับ >> http://eregist.dbd.go.th/Member/faces/member/conditions.jsp
Categories: Investment Articles