Financial Markets Update

แนวโน้ม SET Index และภาวะการลงทุนรอบโลก ศุกร์ที่ 2 พ.ย. 61

  • แนวโน้ม SET Index — ดัชนีกลับมาบวกได้ต่อเนื่อง แนวโน้มระยะสั้น (กรอบเวลา Daily – ซึ่งไม่ได้แปลว่าดู 1 วันแล้วจบ) กลับมาเป็นขาขึ้นแล้ว ส่วนระยะกลาง (กรอบเวลา Weekly – ซึ่งไม่ได้แปลว่าดู 1 Week แล้วจบ) ยังเป็นขาลง แต่ก็ดูดีกว่าสัปดาห์ที่แล้วเยอะเลย .. โดยที่แนวโน้มขาลง/ขาขึ้น ให้ดูที่ทิศทางลูกศร MACD ในกราฟ โดยแนวโน้มล่าสุด ให้ดูตามทิศทางหัวลูกศรอันขวาสุด (อันล่าสุด)
  • แนวโน้มค่าเงินบาท — แข็งค่าอย่างเร็ว มาอยู่ที่ $32.79 THB/USD แต่แนวโน้มระยะกลางก็ยังคงเป็นด้านอ่อนค่า
  • การซื้อขายสุทธิในตลาดหุ้นของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ — ต่างชาติยังคงขายสุทธิ แต่ก็เล็กน้อย ถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ซึ่งขายรวมกันมากกว่า 270,000 ล้านบาทแล้ว
  • แนวโน้มราคาทองคำ — ทรงตัวที่ระดับ $1,23x แต่แนวโน้มระยะกลางก็ยังเป็นขาขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5
  • แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ —  ดิ่งลงมาจาก $85 เหลือ $73 แนวโน้มระยะกลางกลับเป็นขาลงแรง ซึ่งน่าจะช่วยให้เงินเฟ้อขยับตัวช้าลงกว่าแนวโน้มช่วงก่อนหน้า ซึ่งราคาน้ำมันพุ่งจาก $70 ขึ่้นไปเร็วมาก

(กราฟจากบริการ Aspen by ThaiQuest)

  • Snapshot ตลาดหุ้นที่สำคัญทั่วโลก (ข้อมูลจาก cnbc.com) — บวกทั่วหน้า เย้ !!

  • Snapshot ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก (ข้อมูลจาก cnbc.com) — เมื่อตลาดหุ้นบวกค่อนข้างจะพร้อมเพรียง จึงมีแรงขายพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้น ราคาขยับลง .. ซึ่งราคา vs ผลตอบแทน ของตราสารหนี้ จะแปรผกผันกัน (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกอัตราดอกเบี้ยและราคาตราสารหนี้ได้ ที่นี่)

ชวนทำความเข้าใจ

  • สัญญาณขาขึ้นขาลงที่อยู่ในกราฟ (ตัวหนังสือ MACD พร้อมหัวลูกศร) มาจากเครื่องมือ MACD ซึ่งสัญญาณนั้นเป็น “ผล” จาก “เหตุปัจจัยต่าง ๆ” เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การเมืองไทย การเมืองโลก เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก ภาวะธุรกิจตลอดจนข่าวของบริษัทเอง ฯลฯ … เราจึงดูกราฟเพื่อให้รู้ว่าปัจจัยต้นเหตุต่าง ๆ การคาดการณ์ต่าง ๆ ในช่วงนี้ ส่งผลต่อแนวโน้มราคาในระยะนี้ต่อไปถึงอนาคต “ใกล้ ๆ” อย่างไรบ้าง … แต่เราไม่สามารถเอากราฟซึ่งเป็น “ผล” กลับไปพยากรณ์ “เหตุ” ในอนาคตไกล ๆ ได้ ไม่ว่าจะใช้เครื่องมืออะไร หรือแนวเทคนิกแบบไหนก็ตาม
  • ข้อมูลตลาดหุ้นจะใช้ SET Index เป็นตัวแทน เพื่อให้นำเสนอข้อมูลภาพรวมได้จริงในทางปฏิบัติ ภาวะของหุ้นรายตัวอื่น ๆ อาจต่างไปจากภาวะของตลาดโดยรวมก็ได้ นักลงทุนจึงควรพิจารณาสถานะของหุ้นรายตัวที่นักลงทุนสนใจ ควบคู่กันไป

 

Advertisement