Financial Markets Update

เพราะปีนี้หนักเลยจัดเพิ่มให้พิเศษกับกองทุน SSFX

(Special Content)

หลังจากที่กองทุน LTF สิ้นสุดและไม่ได้ไปต่อในปีนี้ หลายคนก็ตั้งตารอว่า จะมีกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีรูปแบบไหนมาทดแทน ถึงวันนี้เราก็คงทราบกันดีแล้วว่า กองใหม่ที่มาแทนนั้น ก็คือ กอง SSF หรือ Super Savings Fund ซึ่งทั้งกอง LTF และ SSF ก็มีข้อแตกต่างที่น่าสนใจหลายจุด ตั้งแต่นโยบายการลงทุนที่กอง LTF ต้องลงทุนในหุ้นไทยอย่างน้อย 65% ที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้หรือหุ้นก็ได้ ส่วน SSF สามารถลงทุนได้ทุกสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ หุ้น REITs ได้ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงเพดานในการซื้อที่ LTF สามารถซื้อได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้หรือไม่เกิน 500,000 บาท ขณะที่ SSF จะสามารถซื้อได้ 30% ของเงินได้แต่จะไม่เกิน 200,000 บาท

และนอกจากกองทุน SSF แล้ว ช่วงนี้ยังมีกองทุน SSF แบบพิเศษ หรือ SSF Extra (SSFX) ที่สามารถซื้อเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษีเพิ่มเติมได้ และทั้ง SSF และ SSFX ก็มีการออกขายควบคู่กัน แล้วเจ้ากอง SSFX นี้เป็นอย่างไร และนอกจากชื่อแล้วทั้งสองกองนี้แตกต่างกันในด้านไหนบ้าง วันนี้ TIF จะมาสรุปให้ฟังกัน…

เพราะปีนี้หนักเลยจัดให้พิเศษกับ SSFX

จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และยังไม่มีท่าทีว่าจะจบเร็ว ๆ รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมานี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบ โดยหนึ่งในนั้น คือการเพิ่มสิทธิในการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน SSFX ซึ่งมีรายละเอียดหลัก ๆ ดังนี้

  • ต้องซื้อภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563
  • ไม่จำกัดขั้นต่ำในการซื้อ แต่สามารถลงทุนได้ไม่เกิน 200,000 บาท (เพิ่มจาก SSF ปกติ และไม่ต้องมารวมกับกองทุนลดหย่อนประเภทอื่น ๆ)
  • ลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 65% หรือพูดสั้น ๆ ก็คือ จะเป็นกองทุนที่เน้นหุ้นไทย
  • ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ

เทียบให้เห็นชัด ๆ ระหว่าง LTF SSF และ SSFX

จะเห็นได้ SSFX ก็เปรียบเหมือนเป็น Limited Edition ของ SSF ที่มีขายเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น จบแล้วจบเลยนั่นเอง

พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจมีหลายท่านเกิดคำถามว่า กอง SSFX มีนโยบายการลงทุนแทบจะไม่ต่างกับ  LTF หรือกองทุนรวมหุ้นทั่วไป แล้ว SSFX ดีกว่ากองเหล่านั้นอย่างไร ซึ่งคำตอบก็คือ SSFX มีดีที่ความหลากหลาย แม้ว่ากองทุน SSFX จะเน้นลงทุนในหุ้นไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็สามารถแยกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ให้นักลงทุนสามารถเลือกกองที่ตอบโจทย์กับตัวเราได้มากที่สุด

ประเภทที่ 1: SSFX เน้นลงทุนหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 80%

เป็น SSFX ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย ไม่ต่ำกว่า 80% ของ NAV เรียกได้ว่ามีการลงทุนในหุ้นเต็มที่ SSFX ประเภทนี้ จึงมีความเสี่ยงสูง แต่ก็จะมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นกัน (High risk, High Expected Return) เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก และสามารถทนความผันผวนระยะสั้นได้

ประเภทที่ 2: SSFX ลงทุนตามดัชนี

เป็น SSFX ที่มีนโยบายลงทุน โดยเน้นการสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีให้มากที่สุด ซึ่งมีทั้งที่อ้างอิงดัชนี SET Index, SET 50 Index และ SET 100 Index โดยกองทุนที่ลงทุนตามดัชนีส่วนใหญ่ก็จะมีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนประเภทอื่น ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ที่ประหยัดได้ ก็หมายถึงผลตอบแทนที่จะได้รับเพิ่มขึ้นนั้นเอง รวมทั้งหากเราลงทุนด้วยระยะเวลาที่นานพอ ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหุ้นไทย

ประเภทที่ 3: SSFX ลงทุนหุ้นไทย 70-30

เป็น SSFX ที่ลงทุนหุ้นไทยในสัดส่วนประมาณ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% นำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ ซึ่ง SSFX ประเภทนี้ จะเป็นการรวมทั้งสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และสินทรัพย์มั่นคงไว้ด้วยกัน จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นเต็มที่ 80% เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นแต่รับความเสี่ยงได้จำกัด

ประเภทที่ 4: SSFX ลงทุนหุ้นไทย 65-35

เป็น SSFX ที่ลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% โดยส่วนที่เหลืออีกประมาณ 35% จะกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น อสังริมทรัพย์ผ่าน REITS หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งอาจจะมีการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูงอีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นแต่ก็อยากที่จะกระจายลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ด้วย

นอกจากจุดเด่นเรื่องความหลากหลายแล้ว ในช่วงที่ผ่านมาระดับราคาของหลักทรัพย์ในตลาดฯ ก็ปรับตัวลดลงอย่างมาก ทำให้การลงทุนใน SSFX ยิ่งเปิดโอกาสโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบกับภาวะที่ตลาดค่อย ๆ ขยับขึ้นตามปกติ อย่างไรก็ดี SSFX ยังเน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก แม้จะมีการกระจายลงทุนหลายแบบ แต่ผู้ลงทุนก็ยังอาจต้องเจอความผันผวนของหุ้น แต่เนื่องจากต้องถือครอง 10 ปี ก็น่าช่วยให้ความกังวลเรื่องความผันผวนระยะสั้นลดลงไปได้พอสมควร

สรุปแล้ว ใครที่ต้องการเปิดโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้น ต้องการบริหารค่าใช้จ่ายภาษี มีสภาพคล่องลงทุนได้ พร้อมถือในระยะยาว รวมถึงเชื่อว่าสถานการณ์ COVID-19 อย่างไรแล้วก็จะบรรเทาและสิ้นสุดลงไปในที่สุด SSFX ก็ถือเป็นตัวเลือกพิเศษที่น่าสนใจ

และท่านที่สนใจลงทุน SSFX ในช่วงนี้ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของแต่ละ บลจ. และที่ลิงก์นี้ setga.page.link/AA89vcNBXKBpWhJdA รวมถึงสามารถติดต่อสถาบันการเงินที่ท่านมีบัญชีกองทุน หรือตัวแทนขายที่ท่านใช้บริการอยู่