ในปัจจุบัน เทรนด์ Urbanization หรือ การขยายตัวของเมืองใหญ่เริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยประชากรในหลายประเทศเริ่มย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่กันมากขึ้น ประเทศไทยเองก็เช่นกัน แม้ว่าเราจะได้เห็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่เริ่มกระจายตัวไปยังหัวเมืองรองต่าง ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หัวเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ก็ยังเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่ผู้คนเลือกที่จะย้ายถิ่นฐานเข้ามา เพื่อโอกาสที่จะได้รับคุณภาพชีวิต การศึกษา และหน้าที่การงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาจากการขยายตัวของประชากรในเมือง ก็คือ การเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหากเราเป็นนักลงทุนที่กำลังมองหากลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตในอนาคต ธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นธุรกิจที่เราไม่ควรจะมองข้าม อีกทั้งยังสอดรับกับเทรนด์ Urbanization ได้เป็นอย่างดี
เร็ว ๆ นี้ ก็กำลังมีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อย่าง SA หรือ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) เตรียมที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนมาใช้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต มุ่งสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย
SA ประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ ภายใต้แนวคิด “Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต” โดย SA จะเน้นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแตกต่างและความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น ผ่านโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพในทำเลที่มีศักยภาพใจกลางเมือง ซึ่งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และย่านศูนย์กลางธุรกิจใหม่ (New CBD) รวมถึงตามเส้นทางระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ เช่น รถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าใต้ดินในเขตกรุงเทพมหานคร รวมถึงบริษัทยังให้ความสำคัญกับการออกแบบและก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและมาตรฐานด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
โดยปัจจุบัน SA เปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายไปแล้วกว่า 20 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการอสังหาริมทรัพย์แนวสูง ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมประเภท High Rise และ Low Rise จำนวน 16 โครงการ และ (2) โครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้แก่ โครงการทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านจัดสรร จำนวน 4 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 46,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่30 กันยายน 2563) นอกจากนี้ SA ยังให้บริการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น การให้บริการบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุดแบบครบวงจร เป็นต้น
เจาะลึกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ SA
1. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย
ถือเป็นธุรกิจหลักของ SA ในปัจจุบัน โดยนับตั้งแต่ SA เริ่มพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแรก (Siamese Gioia) ในปี 2554 SA ก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการก่อสร้าง รวมถึงเทคนิคด้านการออกแบบและการก่อสร้าง เพื่อมาใช้ในการพัฒนาโครงการอื่น ๆ ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ทำให้โครงการที่ออกมาของ SA ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งนี้ โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.1 โครงการคอนโดมิเนียม
นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการแรก SA ก็ได้เปิดตัวและพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียมอย่างต่อเนื่องปีละ 1-2 โครงการ ซึ่ง ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 SA ได้พัฒนาโครงการประเภทคอนโดมีเนียมไปแล้ว 16 โครงการ โดยแบ่งเป็น (1) โครงการที่ปิดไปแล้ว 6 โครงการ (2) โครงการที่อยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ 6โครงการ (3) โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและการขาย 1 โครงการ และ (4) โครงการที่อยู่ระหว่างการขายและพัฒนา 3 โครงการ มูลค่ารวมโครงการทั้งสิ้นกว่า 43,000 ล้านบาท

/2 มูลค่ารอโอนกรรมสิทธิ์ หมายยถึง มูลค่าห้องชุดตำมสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว หรือห้องชุดที่มีสัญญาจองซื้อแล้ว
/3 สำหรับโครงกำรอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่ปิดโครงกำรแล้ว บริษัทยังคงถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการบางส่วนเพื่อให้เช่าหรือบริการ
/4 ระยะเวลาที่คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์สำหรับห้องชุดที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว
นอกจากนี้ SA ยังได้เริ่มพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ซึ่งเป็นธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย ประเภทโครงการคอนโดมิเนียม โดยนำบริการของโรงแรมชั้นนำที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศ เข้ามาให้บริการภายในโครงการที่พักอาศัย ซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้า ทั้งกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง โดยตัวโครงการก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามมาตรฐานของโรงแรม เช่น บริการอาหารและเครื่องดื่มภายในห้องพัก บริการทำความสะอาดห้องพัก และบริการซักรีด รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มนักลงทุน ซึ่งต้องการผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า โดยโครงการสามารถนำเสนอห้องชุดเพื่อเช่าพร้อมบริการในระดับโรงแรมที่มีอยู่ในโครงการ จึงทำให้หาผู้เช่าได้ง่ายขึ้น และสามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้มากขึ้น ผ่านลักษณะและจุดเด่นที่แตกต่างจากโครงการอื่น ๆ
ทั้งนี้ SA ได้เริ่มพัฒนาโครงการรูปแบบ Branded Residence ในโครงการ Siamese Exclusive Queens เป็นโครงการแรก ภายใต้แบรนด์ Wyndham รวมถึงยังได้ทำการ Re-Branding โครงการคอนโดมิเนียมอื่นที่มีบริการ Branded Residence เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ การให้บริการแบบโรงแรมตามมาตรฐานระดับโลกของแบรนด์ที่ใช้ในการบริหารโครงการ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่โครงการและสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย โดยปัจจุบัน SA มีโครงการรูปแบบ Branded Residence ทั้งสิ้น 4 โครงการ ได้แก่

1.2 โครงการแนวราบ
ตั้งแต่ปี 2556 บริษัทได้ขยายสู่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ภายใต้ชื่อโครงการ Siamese Blossom @ Fashion ซึ่งประกอบด้วย โครงการทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านจัดสรร และโครงการ Siamese Kin ซึ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร ระดับ High End บริเวณถนนรามอินทรา รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นกว่า 2,500 ล้านบาท

/2 มูลค่ารอโอนกรรมสิทธิ์ หมายยถึง มูลค่าห้องชุดตำมสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว หรือห้องชุดที่มีสัญญาจองซื้อแล้ว
/3 สำหรับโครงกำรอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่ปิดโครงกำรแล้ว บริษัทยังคงถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการบางส่วนเพื่อให้เช่าหรือบริการ
/4 ระยะเวลาที่คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์สำหรับห้องชุดที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว
2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า
โดย SA ได้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าที่สามารถสร้างรายได้ประจำและต่อเนื่อง (Recurring Income) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทในปัจจุบัน โดยทุกโครงการของ SA จะแบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์ โดย SA จะคัดเลือกผู้เช่าที่สามารถอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการให้ได้มากที่สุด เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) เป็นต้น สำหรับพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ในโครงการต่าง ๆ ของบริษัทในปัจจุบัน จะประกอบไปด้วย (1) พื้นที่สำนักงานให้เช่า และ (2) พื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชยกรรมอื่น ๆ เช่น พื้นที่ครัวกลางให้เช่าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจอาหารเดลิเวอรี่ หรือ Cloud Kitchen ภายใต้ชื่อ Bizzie Dish (“บิซซี่ ดิช”) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการ Blossom Condo @ Sathorn-Charoenrat ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการร้านอาหารเข้าเช่าพื้นที่แล้วกว่า 10 ราย โดย SA จะคิดค่าเช่าในรูปแบบส่วนแบ่งกำไร (Gross Profit Sharing)

3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้บริการ
เพื่อลดความเสี่ยงและความผันผวนจากรายได้ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย และเพิ่มความหลากหลายของแหล่งที่มาของรายได้มากขึ้น SA ได้จัดสรรพื้นที่บางส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อสร้างเป็นอาคารโรงแรมด้านหน้า เพื่อให้บริการห้องพักแบบมีบริการแก่บุคคลภายนอก ทั้งนี้ ในส่วนของอาคารโรงแรม SA ได้มีการพัฒนารูปแบบส่วนอาคารให้อยู่เฉพาะด้านหน้า ซึ่งติดกับถนนใหญ่ เพื่อลดผลกระทบหรือข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างผู้พักอาศัยภายในโครงการและผู้เช่าห้องพักจากภายนอก

สถานะของการพัฒนาโครงการเฉพาะส่วนของห้องพักแบบ โรงแรม ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ดังนี้

นอกจากนี้ SA ยังได้นำห้องชุดบางส่วนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่แล้วมาปรับรูปแบบห้องพักในโรงแรมหรือเซอร์วิสเรสซิเด้นซ์ (Serviced Residence) เพื่อสร้างรายได้จากค่าเช่าและบริการ ในช่วงที่ยอดขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว โดยปัจจุบัน SA ได้เปิดให้บริการห้องพักแบบเซอร์วิสเรสซิเด้นซ์ ผ่านโครงการ Blossom Condo @ Fashion Beyond บริเวณถนนรามอินทรา ซึ่งได้จัดสรรห้องชุด 154 ยูนิต จาก 453 ยูนิต มาพัฒนาและให้บริการในรูปแบบโรงแรม 3 ดาว ภายใต้แบรนด์ Q-Box

รวมทั้ง SA ยังมีโครงการ Wyndham Residence โครงการ Wyndham Garden Residence และโครงการ Ramada Residence ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาห้องพักในรูปแบบเซอร์วิสเรสซิเด้นซ์ อีกด้วย
ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 การพัฒนาห้องพักเพื่อการบริการประเภทดังกล่าวมีความคืบหน้าของแต่ละโครงการ ดังนี้

4. ธุรกิจอื่น ๆ
SA ได้เริ่มดำเนินธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ซึ่งปัจจุบัน มีธุรกิจร้านกาแฟ ภายใต้แบรนด์ “Kafeology” จำนวน 4 สาขาภายในโครงการของบริษัท รวมถึงการพัฒนาร้านอาหารรสเมรี (Rosemary) รองรับลูกค้าที่ใช้บริการโรงแรม Q-Box Hotel Bangkok Blossom นอกจากนี้ SA ยังได้เริ่มพัฒนาห้องอาหารแห่งแรกภายในโครงการ Wyndham Residence ภายใต้ชื่อ ห้องอาหาร Marie Guimar ตั้งอยู่บนชั้น 28ให้บริการอาหารประเภท Traditional Thai Food Fine Dinning และห้องอาหาร Falcon Secret Bar ตั้งอยู่บนชั้น 34 โดยให้บริการเครื่องดื่มทุกประเภทอีกด้วย
ด้านฐานะทางการเงินของบริษัท

ในปี 2563 SA มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 13,496.3 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์หลักที่สำคัญของบริษัท ได้แก่ ต้นทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และค่านายหน้าจ่ายล่วงหน้า ด้านหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ในปี 2563 จะเท่ากับ 10,696.9 และ 2,799.4 ตามลำดับ โดยหนี้สินส่วนใหญ่ของบริษัท ได้แก่ เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน หุ้นกู้ และเงินรับล่วงหน้าจากลูกค้าตามสัญญาจะซื้อจะขาย
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัท
โครงสร้างรายได้ของบริษัท แบ่งตามประเภทธุรกิจสำหรับปี 2560-2562 และงวด 9 เดือนสิ้นสุด 30 กันยายน 2562-2563 เป็นดังนี้

โครงสร้างรายได้หลักของ SA

ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2563 SA มีรายได้รวมเติบโตขึ้นต่อเนื่องทุกปีตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าแล้ว โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทจะมาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นโครงการอาคารชุดคอนโดมิเนียม โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของรายได้ทั้งหมด โดยในปี 2563 จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ Siamese Exclusive 31 ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในระหว่างปี 2562 โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ “Exclusive” จึงมีราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตที่ค่อนข้างสูง ทำให้โครงการนี้จึงมีสัดส่วนรายได้ต่อรายได้รวมจากการขายโครงการชุดคอนโดมิเนียมมากที่สุด
ด้านกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิ
ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ จำนวน 51.5 ล้านบาท 163.4 ล้านบาท และ 502.6 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 4.4 ร้อยละ 7.3 และร้อยละ 17.5 ตามลำดับ โดยอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากความสามารถเรื่องทำกำไรของโครงการใหม่ ๆ จากการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขายห้องชุดของโครงการคอนโดมิเนียมที่มีอัตรากำไรสูงที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2562 บริษัทยังมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้ที่ลดลงอีกด้วย โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมของบริษัทในปี 2562 คิดเป็นเพียงร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับร้อยละ 11.8 ในปี 2561
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 1,949.4 ล้านบาท ลดลง 542.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 21.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สืบเนื่องจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ของบริษัทในภาพรวมได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

ด้านอัตรากำไรขั้นต้น บริษัทสามารถรักษาระดับกำไรขั้นต้นได้เป็นอย่างดี โดยตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2563 บริษัทก็มีกำไรขั้นต้นเติบโตขึ้นทุกปี โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นสอดคล้องกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นเป็นผลจากความสามารถในการทำกำไรของโครงการใหม่ ๆ เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในปี 2563 บริษัท มีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 44.2 ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 41.8 ซึ่งเป็นผลจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการ Wyndham Residence Bangkok ซึ่งเป็นโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงต่อเนื่องจากปลายปีก่อน

เจาะจุดแข็งของ SA
- ทำเลที่ตั้งของโครงการดีและมีศักยภาพ โครงการของ SA ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ตามแนวระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะในบริเวณย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ (CBD) หรือโซนส่วนต่อขยายศูนย์กลางธุรกิจ (New CBD) เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนรัชดาภิเษก และถนนพระรามเก้า
- จุดเด่นที่แตกต่าง SA มีการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทมิกซ์ยูส (Mixed-use) ซึ่งจะมีทั้งอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงานให้เช่า พื้นที่ค้าปลีก และโรมแรมในพื้นที่บริเวณเดียวกัน โดยเป็นการผสมผสานระหว่างส่วนของห้องชุดพักอาศัยและส่วนของห้องพักเพื่อการบริการ นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรพื้นที่ในส่วนต่าง ๆ สำหรับการให้เช่าเชิงพาณิชย์ ซึ่งส่วนนี้ก็จะช่วยเพิ่มความหลากหลายของแหล่งที่มาของรายได้ และลดความเสี่ยงและความผันผวนของรายได้จากธุรกิจหลักอีกด้วย
- ควบคุมต้นทุนและคุณภาพงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน จากประสบการณ์ด้านการรับเหมาก่อสร้างของทีมผู้บริหาร ทำให้บริษัทสามารถจัดหาที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการได้ในราคาที่เหมาะสม รวมถึงสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มผู้รับเหมารายต่าง ๆ บริษัทจึงสามารถคัดเลือกผู้รับเหมาที่มีความเหมาะสมและมีความชำนาญตามส่วนงาน (Specialist Sub-Contractor) ทำให้บริษัทสามารถควบคุมบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีโครงการที่ตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าหลากหลายประเภท
รายละเอียดการ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้น
สำหรับการเข้าระดมทุนผ่านการ IPO สู่ตลาดหุ้นของ SA ในครั้งนี้ ก็เพื่อนำเงินทุนไปต่อยอดพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต รวมทั้งเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ โดย SA จะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 150,000,000 หุ้น คิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ หลังหักค่าใช้จ่ายที่เสนอขายหลักทรัพย์แล้ว ไปใช้ในการพัฒนาโครงการในพอร์ตและรองรับโอกาสในการพัฒนาโครงการใหม่ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ และเพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วนเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของการเสนอขายครั้งนี้ได้จากร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ที่ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่นี่ https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=289184
(Special Content)
Categories: Financial Markets Update, Special Content