ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเราค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากวิถีดั้งเดิม และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในปัจจุบัน ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งทำให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนเราเกิดได้เร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมเหล่านั้นได้ ตัวอย่างเช่น กระแสความนิยมในการซื้อขายสินค้าและการทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) และโซเชียลคอมเมิร์ซ (Social commerce) ที่ในประเทศไทยคาดการณ์ว่าจะเติบโตกว่าปีละ 28% หนึ่งในธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการและมีบทบาทเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซคือ “ธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วน” ซึ่งปัจจุบันมีการขยายตัวของอุปสงค์อย่างรวดเร็ว ทำให้ KEX หรือที่รู้จักในชื่อ Kerry Express ในฐานะบริษัทผู้นำการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในไทย เตรียมที่จะ IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขยายธุรกิจให้สามารถรองรับความต้องการในอนาคต ในโอกาสนี้ TIF จึงขออาสาพาไปทำความรู้จัก KEX แบบเจาะลึกให้มากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลเตรียมพร้อมให้แก่นักลงทุน และผู้ที่สนใจทุกท่าน
ผู้นำการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในไทย
KEX หรือ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนภาคเอกชนในประเทศไทยที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุด จากปริมาณเฉลี่ยของพัสดุที่จัดส่งในปัจจุบันเฉลี่ยกว่า 1.2 ล้านชิ้นต่อวันทำการ คิดเป็นอัตราการเติบโตของปริมาณพัสดุที่จัดส่งในปี 2557-2562 เฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) สูงถึง 134.9% KEX ให้บริการจัดส่งพัสดุแบบครบวงจรทุกกลุ่มธุรกิจทั้ง C2C, B2C และ B2B มีเครือข่ายให้บริการครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ผ่านจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง และศูนย์กระจายพัสดุกว่า 1,200 แห่ง
จุดแข็งสำคัญที่ทำให้ KEX ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนคือ การมุ่งเน้นคุณภาพของการให้บริการและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาการจัดส่งซึ่งสะท้อนได้จากจากอัตราการจัดส่งพัสดุตรงตามเวลาที่คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 99% การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ และช่วยขยายเครือข่ายการดำเนินงานให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ KEX ยังมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพและความเชี่ยวชาญของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการให้บริการเพื่อช่วยตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
เจาะลึกโครงสร้างธุรกิจของ KEX
KEX ให้บริการจัดส่งพัสดุครบวงจร ครอบคลุมลูกค้าทุกภาคธุรกิจ ได้แก่
1. ธุรกิจการจัดส่งพัสดุ แบบบุคคล-ส่งถึง-บุคคล (C2C)
2. ธุรกิจการจัดส่งพัสดุ แบบธุรกิจ-ส่งถึง-บุคคล (B2C)
3. ธุรกิจการจัดส่งพัสดุ แบบธุรกิจ-ส่งถึง-ธุรกิจ (B2B)
รายได้กลุ่มธุรกิจหลักเติบโตต่อเนื่อง
ในปี 2562 กลุ่มธุรกิจ C2C มีรายได้ 10,231.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,601.16 ล้านบาท จากปี 2561 หรือ 34.1% คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2560-2562 กว่าปีละ 68% อันเป็นผลมาจากการขยายเครือข่ายการจัดส่งพัสดุด่วนของบริษัทฯ และการเพิ่มจำนวนจุดให้บริการเพื่อรองรับการเติบโตของกิจกรรมทางธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ B2C มีรายได้ในปี 2562 อยู่ที่ 8,948.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,441.71 ล้านบาท จากปี 2561 หรือ 62.5% คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2560-2562 เท่ากับ 84% เนื่องมาจากจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย โดยเฉพาะ Lazada และ Shopee ที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจ B2B รายได้ในปี 2562 เท่ากับ 426.22 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.3 เมื่อเทียบกับปี 2561 สาเหตุจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
ในงวด 9 เดือน ปี 2563 กลุ่มธุรกิจ C2C มีรายได้ 7,914.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% กลุ่มธุรกิจ B2C มีรายได้ 6,503.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุของรายได้ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจ C2C และ B2C เป็นผลมาจากปริมาณความต้องการในการส่งสินค้าด่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ขณะที่กลุ่มธุรกิจ B2B มีรายได้ 256.67 ล้านบาท ลดลง 18.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการชะลอตัวของกิจกรรมทางธุรกิจจากการปิดประเทศในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19
สัดส่วนรายได้ของ KEX แยกตามกลุ่มธุรกิจ
รายได้หลักของ KEX มาจากธุรกิจการจัดส่งพัสดุแบบ C2C และ B2C รวมกันมากกว่า 90% ซึ่งล่าสุดในงวด 9 เดือนของปี 2563 KEX มีรายได้จากกลุ่มธุรกิจ C2C 7,914.65 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53.9% ของรายได้รวม และรายได้จากกลุ่มธุรกิจ B2C 6,503.78 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44.3% ของรายได้รวม ขณะที่กลุ่มธุรกิจ B2B มีรายได้ 256.67 ล้านบาท คิดเป็น 1.7% ของรายได้รวม
สถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง มีการเติบโตของรายได้ต่อเนื่อง
ด้านฐานะการเงินของ KEX
สินทรัพย์รวม
ในปี 2562 KEX มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 6,014.21 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 จากการลงทุนเพื่อเพิ่มจำนวนจุดให้บริการ ศูนย์กระจายพัสดุ และศูนย์คัดแยกพัสดุเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน 2,818.22 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 3,195.99 ล้านบาท
ด้านหนี้สินในปี 2562 KEX มีหนี้สินทั้งหมด 3,781.04 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สินหมุนเวียน 2,861.06 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียน 919.99 ล้านบาท ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 2,233.16 ล้านบาท
ในขณะที่งวด 9 เดือน ปี 2563 KEX มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 10,603.08 ล้านบาท หนี้สินรวมทั้งสิ้น 8,392.93 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2562 จะเพิ่มขึ้น 4,588.87 ล้านบาท และ 4,611.89 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้สิทธิการใช้ทรัพย์สิน และการรับรู้หนี้สินจากภาระผูกพันที่เกิดจากสัญญาเช่า อันเนื่องมาจากการบังคับใช้หลักเกณฑ์ TFRS 16 ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 2,210.15 ล้านบาท ใกล้เคียงกับสิ้นปี 2562
ด้านอัตราส่วนทางการเงินของ KEX
ด้านอัตราส่วนทางการเงิน ในปี 2562 KEX มีอัตราส่วนสภาพคล่อง 0.99 เท่า เพิ่มขึ้นจากปี 2561 จากการปรับปรุงการบริหารจัดการกระแสเงินสดและสภาพคล่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีเงินสดเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.69 เท่า ลดลงจากปี 2561 จากการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นจากกำไรสะสม ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในปี 2562 อยู่ที่ 0.36 เท่า
สำหรับไตรมาส 3 ของปีนี้ อัตราส่วนสภาพคล่องของ KEX อยู่ที่ 0.67 เท่า อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 3.80 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 2.61 เท่า หากไม่นับรวมผลกระทบจาก TFRS 16 แล้ว จะเท่ากับ 1.14 เท่า 1.57 เท่า และ 0.36 เท่าตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับสิ้นปี 2562
ด้านผลการดำเนินงานของ KEX
ในปี 2562 KEX มีรายได้จากการขายรวม 19,781.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 คิดเป็น 45.8% หากคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของรายได้ในช่วง 3 ปี (CAGR) จะเท่ากับ 72.8% ต่อปี โดยรายได้ที่เติบโตอย่างโดดเด่นเป็นผลมาจากการเติบโตของเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ โซเชียลคอมเมิร์ซ ขณะที่สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 KEX มีรายได้กว่า 14,688.92 ล้านบาท ซึ่งสามารถรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 3 ปี 2562 แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ก็ตาม
ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรขั้นต้นสำหรับปี 2562 เท่ากับ 15.56% ลดลงจากปี 2561 ที่เท่ากับ 17.79% สาเหตุจากการลงทุนในศูนย์กระจายพัสดุ จุดคัดแยกพัสดุ และอุปกรณ์ ซึ่งไม่ได้ทำให้ได้รับผลประโยชน์โดยทันที แต่คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนในระยะยาว ขณะที่ในงวด 9 เดือนของปี 2563 มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นเท่ากับ 16.60% (หากไม่นับรวมผลกระทบจาก TFRS 16 จะเท่ากับ 16.34%) เพิ่มขึ้นจากงวด 9 เดือน ปี 2562 จากการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กำไรสุทธิ
ด้านกำไรในปี 2562 KEX มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,328.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 143.45 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.1% ขณะที่งวด 9 เดือนของปี 2563 แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่ KEX ยังสามารถทำกำไรสุทธิ 1,030.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129.87 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14.4% เมื่อเทียบเคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เป้าหมายในการ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้น
KEX วางแผนนำเงินทุนที่ได้รับจากการเข้าระดมทุนไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจและการให้บริการให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ผ่านการขยายเครือข่ายจัดส่งพัสดุด่วน เช่น การเพิ่มจำนวนศูนย์คัดแยกพัสดุ จุดให้บริการ และศูนย์กระจายพัสดุแห่งใหม่ รวมถึงการลงทุนในระบบการขนส่งและการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะนำเงินไปชำระเงินกู้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดย KEX จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 17.2% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ได้จากหนังสือชี้ชวน (Filing) ที่ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=305545
(Special Content)
Categories: Investment Articles, Knowledge Resources, Special Content