Financial Markets Update

เจาะลึกหุ้นเบทาโกร (BTG) | ผู้นำธุรกิจอาหารชั้นนำแบบครบวงจร เตรียม IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

หลายท่านที่เคยไปซูเปอร์มาร์เก็ต น่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับแบรนด์ “เบทาโกร” หรือถ้าให้นึกถึงแบรนด์เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ที่เน้นคุณภาพและความพรีเมียม “S-Pure” ก็น่าจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลายท่านนึกถึงและน่าจะเคยซื้อมาบริโภค ทั้งสองแบรนด์ที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์จาก บมจ. เบทาโกร หรือ BTG ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ “เบทาโกร” ไม่ได้มีเพียงแค่เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ หรืออาหารแปรรูปเท่านั้น แต่ครอบคลุมทั้งธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การจำหน่ายพันธุ์สัตว์ การทำฟาร์ม การชำแหละและการแปรรูปเนื้อสัตว์ รวมทั้งโรงงานผลิตและแปรรูปอาหาร นอกจากนี้ยังมีร้านค้าที่เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายของตัวเอง เช่น Betagro Shop และ Betagro Deli เรียกได้ว่าครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบของไทย และจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเร็ว ๆ นี้ “เบทาโกร” เตรียมที่จะระดมทุนผ่านการทำ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยมีแผนจะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อ หรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ใช้ปรับโครงสร้างเงินทุน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ในบทความนี้ TIF จะพาไปเจาะลึกภาพรวมธุรกิจรวมถึงรายละเอียดและความน่าสนใจของเบทาโกร ทั้งในด้านโครงสร้างธุรกิจและผลการดำเนินงาน จุดแข็งและศักยภาพในการแข่งขัน กลยุทธ์ในการสร้างการเติบโต รวมถึงรายละเอียดของการ IPO เป็นข้อมูลให้ทุกท่านใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุน

ภาพรวมธุรกิจของเบทาโกร

บมจ. เบทาโกร หรือ BTG ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ด้วยการทำธุรกิจในรูปแบบ Vertically Integrated Business Model ซึ่งครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ (Value Chain) ประกอบด้วย

ธุรกิจต้นน้ำ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์ อาหารสัตว์ การเพาะเลี้ยงและจำหน่ายพันธุ์สัตว์ การทำฟาร์มหมูและไก่
ธุรกิจกลางน้ำ ได้แก่ การชำแหละและแปรรูปเนื้อสัตว์ โรงงานผลิตและแปรรูปอาหาร
ธุรกิจปลายน้ำ ได้แก่ การขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป ฮ่องกง และ เอเชีย

นอกจากนี้ เบทาโกรยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ของบริษัทเอง ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เบทาโกรมีแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในตลาด ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า อาทิ

  • ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์อนามัย เนื้อสัตว์แปรรูป และอาหารแปรรูป ภายใต้แบรนด์ “Betagro” และ “S-Pure”
  • ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเกรดพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ “ITOHAM”
  • ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ภายใต้แบรนด์ “Betagro” “Balance” และ “MASTER”
  • ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ ภายใต้แบรนด์ “Better Pharma” และ “Nexgen”
  • ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ภายใต้แบรนด์ “Perfecta” “DOG n joy” และ “CAT n joy”

นอกจากนี้ยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทเอง ซึ่งได้แก่ Betagro Shop สำหรับลูกค้ากลุ่ม B2B และ Betagro Deli สำหรับลูกค้ากลุ่ม B2C

โครงสร้างรายได้ของเบทาโกร

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เบทาโกรมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการรวมกว่า 53,284.6 ล้านบาท โดยสามารถแบ่งตามกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้

  1. กลุ่มธุรกิจเกษตร: ดำเนินธุรกิจผ่านกลยุทธ์ Agro Total Solution ด้วยการสนับสนุนเกษตรกรอย่างครบวงจร สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยมีแบรนด์สินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ อีกทั้งยังมีการจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือฟาร์มที่หลากหลาย และการให้บริการห้องปฏิบัติการ มีรายได้ 13,099.2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 24.6% ของรายได้รวม
  2. กลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน: ครอบคลุมตั้งแต่การทำฟาร์มปศุสัตว์เชิงพาณิชย์ ตลอดจนการผลิตและจำหน่ายเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ ปลา ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและพร้อมรับประทาน เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกจากพืชที่มีโอกาสเติบโตสูง มีรายได้ 36,448.70 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 68.4% ของรายได้รวม      
  3. กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ: ประกอบธุรกิจในกัมพูชา ลาว และเมียนมา เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อาหารสัตว์ การเพาะพันธุ์สัตว์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์ อุปกรณ์ฟาร์มและผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงสุกร สัตว์ปีก ไข่ไก่ เนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารแปรรูป มีรายได้ 2,770.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของรายได้รวม
  4. กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง: ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง ขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง มีรายได้ 949.9 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.8% ของรายได้รวม

ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2562 – 2564 เบทาโกรมีรายได้รวม 75,188.4 ล้านบาท 80,631.5 ล้านบาท และ 86,743.7 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเป็นรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2562 – 2564 เบทาโกรมีรายได้เพิ่มขึ้น คิดเป็น CAGR  7.4%  การเติบโตของรายได้ดังกล่าวเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการของจากกลุ่มธุรกิจเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อการบริโภค กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์จากสัตว์และผลิตภัณฑ์พลอยได้ และอาหารอื่น ๆ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ และกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง

โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายในกลุ่มธุรกิจเกษตรเป็นไปตามกลยุทธ์ “การเป็นผู้ให้บริการกลุ่มธุรกิจเกษตรแบบครบวงจร” ขณะที่การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายในกลุ่มธุรกิจอาหารเพื่อการบริโภค กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์จากสัตว์และผลิตภัณฑ์พลอยได้ และกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง เป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Product)

ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรก ปี 2565 เบทาโกรมีรายได้รวม 54,193.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 26.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้ดังกล่าวเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการของทุกกลุ่มธุรกิจ (ยกเว้นกลุ่มธุรกิจอื่น) ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาขายสินค้า ตามต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นตามราคาตลาด

ในส่วนของกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิ ในปี 2562 – 2564 เบทาโกรมีกำไร 1,267.5 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.7%) 2,341.0 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2.9%) และ 839.0 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.0%) ตามลำดับ โดยการลดลงของอัตรากำไรในปี 2564 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรก ปี 2565 เบทาโกรมีกำไรสุทธิ 3,892.5 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.2%) และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 233.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

จุดแข็งและศักยภาพในการแข่งขันของเบทาโกร

  1. บริษัทอาหารระดับสากล
    • มีผลิตภัณฑ์และแบรนด์หลากหลายอันเป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
    • ผู้นำในเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร คุณภาพ และระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Bio-security) ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาร่วมกับพันธมิตรชั้นนำในต่างประเทศ
    • มุ่งเน้นไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมและกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง
  2. ระบบและช่องทางการจัดจำหน่าย ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
    • ความสามารถในการสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมผ่านระบบการบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย (Channel Management) ที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกบนระบบดิจิทัลและเทคโนโลยี
    • ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ทั้งช่องทางจัดจำหน่ายของบริษัทฯ รวมไปถึงเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
  3. ศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในและต่างประเทศ
    • ขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าสูงและการขยายกำลังการผลิต
    • การขยายธุรกิจต่างประเทศทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตส่งออกอาหารและการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ
  4. มุ่งหน้าสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ (New S-Curve)
    • มุ่งสร้างโอการการเติบโตในธุรกิจใหม่ๆที่เกี่ยวเนื่องจากศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนระบบเทคโนโลยีชั้นนำ
    • ร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด และรองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งวันนี้และอนาคต เช่น ธุรกิจโปรตีนทางเลือกจากพืช ภายใต้แบรนด์ Meatly! และ Kerry Cool เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ
  5. กระบวนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
    • รูปแบบธุรกิจที่ไม่เป็นการลงทุนเป็นเจ้าของสินทรัพย์ (Asset-light investment model)
    • มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในทีมงานและบุคลากร การจัดซื้อจัดจ้าง ตลอด ทั้งห่วงโซ่อุปทาน
  6. คณะผู้บริหารและคณะกรรมการฯ ที่มีวิสัยทัศน์และมากด้วยประสบการณ์
    • พร้อมต่อยอดสร้างโอกาสเติบโตจากทั้งในและต่างประเทศ
    • ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เพื่อส่งมอบ “ชีวิตที่ยั่งยืน” แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

กลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตของเบทาโกร

  1. พัฒนาธุรกิจในไทยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยความเป็นเลิศทางด้านห่วงโซ่อุปทาน และนวัตกรรมในการจัดจำหน่าย
    • มุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อรองรับความต้องการในผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค
    • ขยายส่วนแบ่งทางการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อหมู ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เบทาโกรมีความเชี่ยวชาญและให้อัตรากำไรสูง
    • ขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เดิม เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนในโรงงานผลิตแห่งใหม่และการปรับปรุงโรงงานที่มีอยู่เดิม โดยให้ความสำคัญต่อการเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่คุณค่า (Supply Chain Resilience) เพื่อลดผลกระทบต่อธุรกิจ และสร้างโอกาสจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ รวมถึงการดูแลในเรื่อง Biosecurity และปศุสัตว์
    • ขับเคลื่อนการใช้ระบบดิจิทัล เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและประสบการณ์ของลูกค้า
    • ใช้ต้นทุนอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในด้านต้นทุน เบทาโกรมีแผนที่จะลดต้นทุนการจัดหาวัตถุดิบด้วยการใช้และพัฒนาระบบการดำเนินงานภายในองค์กรสองรูปแบบได้แก่ Price Forecasting Model ซึ่งช่วยการพยากรณ์ราคาของวัตถุดิบ และ Least Cost Simulation ทำหน้าที่คำนวณการใช้และการจัดสรรวัตถุดิบอย่างเหมาะสมที่สุด
  2. ขยายธุรกิจกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีนโดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท
    • ขยายกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีนโดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรได้สูงกว่าและมีความผันผวนด้านราคาต่ำกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุง ผลิตภัณฑ์อาหารหมักเครื่องปรุงรส และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน
    • เพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง โดยการขยายและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางผู้ให้บริการด้านอาหาร ช่องทางธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่ และช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัท
  3. เร่งพัฒนาความสามารถทางด้านนวัตกรรมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
    • ขยายกลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างผลกำไรสูงสุดในแง่ของอัตรากำไรจากการดำเนินงาน
    • ขยายแพลตฟอร์มธุรกิจใหม่ โดยเน้นที่การพัฒนาและการลงทุนในด้าน Food-Tech, Agri-Tech และ Restaurant-Tech
  4. ขยายธุรกิจต่างประเทศผ่านการส่งออกอาหาร และการทำธุรกิจในภูมิภาค
    • ขยายการประกอบธุรกิจในประเทศกัมพูชา ประเทศลาว และประเทศเมียนมา และการขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศจีน และประเทศเวียดนาม
    • ขยายการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ เช่น ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง
    • เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ในตลาดต่างประเทศ เพิ่มยอดขายผ่านการขายส่ง และเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย

สรุปรายละเอียดการเสนอขายหุ้น IPO และวัตถุประสงค์การระดมทุน

BTG มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน 500 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกินอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัท กรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน)

วัตถุประสงค์การระดมทุน
  1. ใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อ และ/หรือ ก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัท แบ่งเป็น
    • ลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม โรงชำแหละสัตว์ โรงงานแปรรูปอาหารและเนื้อสัตว์ รวมถึงการผลิตไข่ไก่และโปรตีนทางเลือกในไทย
    • ลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม และโรงชำแหละสัตว์ในกัมพูชา ลาว และเมียนมา
    • ลงทุนในโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงและขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยง
    • ลงทุนในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Facilities)
  2. ใช้ปรับโครงสร้างเงินทุน โดยการชำระหนี้สินระยะสั้นและระยะยาว ให้กับสถาบันการเงินต่างๆ
  3. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของบริษัท

สำหรับท่านที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือชี้ชวนทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=427025&lang=th