ศาสตราจารย์ไมเคิล อี. พอร์เตอร์ (Michael E. Porter) นักกลยุทธ์ระดับโลกจาก Harvard University ได้คิดค้นแบบจำลอง Five-Force Model อันโด่งดัง ซึ่งใช้วิเคราะห์ระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรมและแนวทางการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ
Five-Force Model เสนอว่า 5 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ นั้นประกอบด้วย
- ระดับความยากที่จะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่ง
- ระดับความเสี่ยงที่จะมีสินค้าหรือบริการอย่างอื่นเข้ามาทดแทน
- ระดับวามสามารถในการต่อรองของซัพพลายเออร์ (คนที่เราต้องไปซื้อสินค้า/วัตถุดิบ เอามาทำต่อ)
- ระดับความรุนแรงในการแข่งขันในปัจจุบัน และ
- ระดับความสามารถในการต่อรองของลูกค้า
ซึ่งมีธุรกิจอยู่ประเภทหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งสูงมากเมื่อวิเคราะห์กันตาม Five-Force Model ดังกล่าว นั่นก็คือ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure Business
Infrastructure Business เป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นในการพัฒนาประเทศ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร ตัวอย่าง Infrastructure ก็เช่น ท่อส่งน้ำมันและก๊าชธรรมชาติ ท่าอากาศยาน ทางด่วน ทางรถไฟ ท่าเรือ ระบบไฟฟ้าประปา ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม ระบบเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ฯลฯ
และหากจะไล่วิเคราะห์ Infrastructure Business ไปตาม Five-Force Model แต่ละข้อก็จะพบว่า
- Infrastructure Business เป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงมาก และมีความซับซ้อนยุ่งยากในการเริ่มต้น ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและการเจรจากับหน่วยงานภาครัฐ ตัวอย่างชัด ๆ ก็เช่น มูลค่าการประมูลคลื่นมือถือที่ว่ากันที่หลักเกือบแสนล้านบาท จึงยากมากที่ผู้ประกอบการรายใหม่จะเข้ามาทำธุรกิจได้ และถึงมีก็มีจำนวนไม่มาก
- มีความเสี่ยงต่ำมาก ที่ Infrastructure Business จะมีบริการอื่นเข้ามาทดแทนได้ในเวลาอันสั้น แถมผู้ประกอบการเจ้าเดิมเอง ก็มีความสามารถในการปรับปรุงระดับบริการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เช่น การสร้างสนามบินส่วนต่อขยาย การอัพเกรดจาก 3G เป็น 4G
- Infrastructure Project มักมีขนาดใหญ่มาก มูลค่าโครงการมหาศาล จึงมี Supplier จำนวนมากยินดีเสนอราคาในระดับต่ำ เพื่อให้ได้งานไปทำ อำนาจการต่อรองจึงอยู่ในมือเจ้าของโครงการ
- เมื่อ Infrastructure ใช้เงินลงทุนสูง ซับซ้อน และหลายโครงการต้องได้รับสัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งมีจำนวนสัมปทานจำกัดมาก หลายธุรกิจมีได้เพียงเจ้าเดียวในประเทศ เช่น ทางด่วน ระบบรถไฟฟ้า ก็ทำให้มีจำนวนคู่แข่งในแต่ละธุรกิจเพียงน้อยราย หรือบางธุรกิจก็ไม่มีคู่แข่งเลย
- และเมื่อ Infrastructure Business มีการแข่งขันต่ำ ก็ทำให้อำนาจการต่อรองหรือการกำหนดราคาอยู่ในมือผู้ประกอบการแทบจะทั้งหมด เช่น ค่าธรรมเนียมสนามบิน ค่าเช่าท่อขนส่งน้ำมัน
จึงกล่าวได้ว่า Infrastructure Business เป็นธุรกิจที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ก็เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของเทคโนโลยีหรือนโยบายของภาครัฐ
และล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย หรือ KASSET กำลังอยู่ในช่วงนำเสนอกองทุนเปิด เค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K Global Infrastructure Equity Fund หรือ K-GINFRA)
K-GINFRA เน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทที่ทำธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีการลงทุนกระจายไปทั่วโลก และหากมองจุดแข็งของ Infrastructure Business นอกเหนือไปจากทั้ง 5 ประเด็นตาม Five-Force Model แล้ว สินทรัพย์ของธุรกิจนี้ ยังมีอายุการใช้งานยาวนานตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป มีประชากรที่ใช้บริการเป็นจำนวนมหาศาล และที่สำคัญคือมีอุปสงค์ในการใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ขาดแทบจะไม่ได้ (ต้องขึ้นทางด่วนทุกวัน ต้องโหนรถไฟฟ้าทุกวัน ต้องอาบน้ำทุกวัน) ทำให้ธุรกิจนี้มีรายได้สม่ำเสมอ กระแสเงินสดรับมีความต่อเนื่อง และสามารถปรับเพิ่มอัตราค่าบริการได้ในระยะกลางถึงยาว ทำให้ผลการดำเนินงานมีความผันผวนต่ำ และกำไรมีแนวโน้มเติบโตได้ในระยะยาว … ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทำให้หุ้นของธุรกิจ Infrastructure มีความน่าสนใจมาก
หากจะดูกันที่ตัวเลขชัด ๆ ก็จะเห็นว่า มูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมนี้มีการขยายตัวถึงสองเท่ากว่า ในเวลาไม่ถึงสิบปี
ที่มา: OECD, Fostering Investment in Infrastructure, Jan 2015
นอกจากนั้น อัตราการจ่ายเงินปันผล (ยังไม่นับกำไรจากส่วนต่างราคา) ก็มีความสม่ำเสมอ และอยู่ในอัตราที่สูงกว่าโดยหุ้นทั่วไป และอสังหาริมทรัพย์
ที่มา: ดัชนีโครงสร้างพื้นฐาน: S&P Global Infrastructure Index // ดัชนีหุ้นโลก – MSCI World // ดัชนีอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก – FTSE EPRA/NAREIT Developed Real Estate (Net)
K-GINFRA จะนำเงินไปลงทุนใน Morgan Stanley Global Infrastructure Fund ซึ่งบริหารโดย Morgan Stanley Investment Management บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำของโลก ที่มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี มีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลมากกว่าสิบล้านล้านบาท (หนึ่งตามด้วยศูนย์สิบสามตัว) โดยกองทุน Morgan Stanley Global Infrastructure นี้มีขนาดกองทุนประมาณหนึ่งหมื่นแปดพันล้านบาท และได้รับการจัดอันดับเป็นกองทุน 5 Stars โดย Morningstar
Morgan Stanley Global Infrastructure Fund มีวิธีการคัดเลือกหุ้นเข้ากอง ทั้งในแบบ Top-Down คือเริ่มวิเคราะห์จากระดับมหภาค และ Bottom-up คือวิเคราะห์มาจากตัวกิจการ และจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสม (Undervalued) อีกทั้งมีการกระจายลงทุนไปทั่วโลก โดยจากข้อมูลล่าสุด มีการลงทุนในทวีปอเมริกา 63% ยุโรป 23% เอเซียแปซิฟิค 12% และถือเงินสดเป็นสภาพคล่อง 2%
หุ้นที่ Morgan Stanley Global Infrastructure Fund ถือครอง 10 อันดับแรก ณ ปลายปี 2558 เป็นดังนี้
กลับมาที่ K-GINFRA กองนี้ก็จะมีนโยบายการจ่ายปันผลออกมาเป็นระยะ ๆ (ไม่เกินปีละ 4 รอบ) และมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (F/X Hedge) ไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่ากองทุน
จึงนับได้ว่า K-GINFRA มีความครบเครื่อง (1) ทั้งด้านสินทรัพย์ที่ไปลงทุน ซึ่งก็คือหุ้นสามัญของ Infrastructure Business ทั่วโลก ที่มีความมั่นคงและความได้เปรียบในเชิงธุรกิจสูง (2) ทั้งในด้านผู้บริหารกองทุนหลัก ซึ่งก็คือ Morgan Stanley Investment Management ที่มีประสบการณ์ยาวนาน และมีนโยบายการคัดเลือกหุ้นที่มีประสิทธิภาพ และ (3) ในด้านการมีนโยบายจ่ายปันผลให้ผู้ลงทุนมีกระแสเงินรับอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงในประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนอย่างแท้จริง
ใครที่อ่านข้อมูลข้างต้นแล้วสนใจ พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นโอกาสในการลงทุนที่มีศักยภาพสูง ก็สามารถติดต่อขอรายละเอียดแบบเต็ม ๆ รวมถึงรายละเอียดในการจองซื้อได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา ซึ่งเขากำลังเปิดจองซื้อ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2559 โดยกองทุนนี้ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกได้แล้ว
คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะกองทุน เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
Categories: Investment Articles