สัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นตกมากมาย แค่ 5 วัน SET Index ร่วงไป 76 จุด และถ้านับตั้งแต่สิ้นเดือนก่อน SET Index ร่วงไปแล้ว 103 จุด .. นับเป็นการตอกย้ำวลี “ขึ้นบันไดแต่ลงลิฟท์” อย่างแท้จริง เพราะครั้งสุดท้ายที่ดัชนีอยู่ระดับต่ำกว่า 1445 จุด คือวันที่ 30 มิถุนายน 2559 หมายถึงว่า ใช้เวลา 2 เดือนในการไต่ระดับ แต่แค่สัปดาห์เดียวก็กลับมาที่เดิม
ช่วงนี้ จึงน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะ ในการมาตรวจสอบแนวโน้มตลาดหุ้นไทย (ผ่าน SET Index) ว่าเป็นอย่างไรแล้วบ้าง จะเสียทรงไปแค่ไหนแล้ว ทั้งในกรอบเวลาลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งระยะสั้นหมายความถึงการใช้แท่งเทียนแบบ Daily คือข้อมูลการซื้อขาย 1 วันจะแสดงอยู่ในแท่งเทียน 1 แท่ง ซึ่งในกรอบระยะสั้นนี้ ใช้ดูแนวโน้ม SET Index (รวมถึงหลักทรัพย์ใด ๆ ก็ได้) ในช่วงเวลาหลายวัน .. ส่วนระยะกลาง หมายถึงการใช้แท่งเทียนแบบ Weekly ซึ่งใช้ดูแนวโน้มในช่วงเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน … และระยะยาว หมายถึงการใช้แท่งเทียนแบบ Monthly ซึ่งใช้ดูแนวโน้มในช่วงเวลาหลายเดือนถึงหลายปี
โดยเครื่องมือที่เลือกใช้ในการจับแนวโน้มคือ Moving Average Convergence/Divergence หรือ MACD ซึ่งค่าตัวแปรต่าง ๆ ได้ผ่านการ Back Test ด้วยข้อมูลย้อนหลังหลายปีแล้ว ว่าเป็นรูปแบบที่สร้างผลกำไรให้นักลงทุนได้ดีที่สุด (ภายใต้สภาวะ Testing แบบหนึ่ง) …
ในการดูแนวโน้ม ก็ง่าย ๆ คือดูที่ทิศทางของหัวลูกศรตัว MACD … ถ้าชี้ขึ้น ก็เป็นการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น = ควรซื้อ …ในทางกลับกัน ถ้าลูกศรชี้ลง เป็นการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง = ควรขาย
1. แนวโน้มระยะสั้น (Daily Time Frame)
เป็นขาลงมาตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. ตอนที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,537 จุด ดังนั้นใครที่ลงทุนหรือเก็งกำไรในระยะสั้น ก็ควรจะตัวเบามาตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว
2. แนวโน้มระยะกลาง (Weekly Time Frame)
หลังจากที่เป็นขาขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีจากระดับประมาณ 1,300 จุด มาเจอสัปดาห์นี้เข้าไป ก็กลายเป็นขาลงซะแล้ว เพราะลงหนักเหลือเกิน
3. แนวโน้มระยะยาว (Monthly Time Frame)
ถึงแม้จะเป็นต้นเดือนกันยายนที่ไม่สวย แต่เมื่อมองกันในช่วงเวลาหลายปี ก็จะพบว่า แนวโน้มระยะยาว ยังเป็นขาขึ้นได้อยู่ ยาวมาตั้งแต่ต้นปี
โดยสรุปก็คือ (1) ถ้าใครเป็นนักลงทุนหรือเก็งกำไรระยะสั้นไม่กี่วัน เวลานี้ควรถือเงินสดมากกว่า (2)ส่วนใครลงทุนระยะกลางหลายเดือน ก็ควรถือเงินสดเช่นกัน เพราะแนวโน้มเสียไปแล้ว (3) แต่ใครที่ลงทุนระยะยาว ดูภาพใหญ่หลาย ๆ ปี ก็ยังสามารถถือลงทุนได้อยู่ แนวโน้มยังไปต่อได้
ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้จากกราฟ ซึ่งใช้เครื่องมือ MACD เป็น “ผล” จาก “เหตุปัจจัยต่าง ๆ” เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การเมืองไทย การเมืองโลก เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก ภาวะธุรกิจตลอดจนข่าวของบริษัทเอง ฯลฯ … เราจึงดูกราฟเพื่อให้รู้ว่าปัจจัยต้นเหตุต่าง ๆ การคาดการณ์ต่าง ๆ ในช่วงนี้ ส่งผลต่อแนวโน้มราคาในระยะนี้ต่อไปถึงอนาคต “ใกล้ ๆ” อย่างไรบ้าง … แต่เราไม่สามารถเอากราฟซึ่งเป็น “ผล” กลับไปพยากรณ์ “เหตุ” ในอนาคตไกล ๆ ได้ กราฟไม่สามารถพยากรณ์การประกาศมาตรการการเงินการคลังของสหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น กราฟไม่สามารถพยากรณ์นโยบายการผลิตน้ำมันของโอเป็คได้ … อาการของราคาหุ้นในตอนนี้ (ซึ่งใช้กราฟเป็นเครื่องมือในการอธิบาย) จึงไม่สามารถใช้คาดการณ์ราคาหุ้นในอนาคต“ไกล ๆ” ได้อย่างมีเหตุผลเช่นกัน ไม่ว่าจะใช้เครื่องมืออะไร หรือแนวเทคนิกแบบไหนก็ตาม
[รูปยอดดอยจาก canva.com]
Categories: Investment Articles